การเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์
ลักษณะการเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์
การเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. การเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ภายในราชอาณาจักร
- การเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ไปยังท้องที่ต่างจังหวัดทั่วไป
- การเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ภายในหรือออกนอกเขตโรคระบาด
- การเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์เข้าในหรือผ่านเขตปลอดโรคระบาด
- การเคลื่อนย้ายสัตว์หรือซากสัตว์ภายในหรือระหว่างเขตปลอดโรคระบาด
2. การเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ระหว่างประเทศ
- การนำเข้าสัตว์มีชีวิต
- การนำออกสิ่งมีชีวิต
- การนำเข้าซากสัตว์
- การนำออกซากสัตว์
- การนำผ่านราชอาณาจักรซึ่งสัตว์และซากสัตว์
- แบบคำขออนุญาตนำสัตว์/ซากสัตว์ เข้าออก ผ่านราชอาณาจักร (แบบ ร.1/1)
- ขั้นตอนการส่งสัตว์เลี้ยงออกนอกราชอาณาจักร
- อัตราค่าธรรมเนียมการเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ระหว่างประเทศ
จากข้อมูลการเกิดโรคระบาดที่ผ่านมาปัจจัยที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้โรคระบาดแพร่ไปได้อย่างรวดเร็ว คือ การเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ ที่เป็นพาหะของโรคระบาดจากท้องที่หนึ่ง ไปยังอีกท้องที่หนึ่ง นอกจากนี้การนำสัตว์และซากสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ และมาเลเซีย เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาด ของโรคได้ ตัวอย่างเช่น โรครินเดอร์เปสต์ซึ่งได้ถูกกำจัดให้หมดไป ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 แล้ว กาฬโรคสัตว์ปีก (Fowl Plaque) ซึ่งไม่เคยมี รายงานการระบาดในประเทศไทยโรคแอนแทรกซ์ สามารถติดต่อถึงคนได้
โรคระบาดสัตว์ที่สำคัญตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499
- กาฬโรคเป็ด
- กาฬโรคแอฟริกาในม้า
- โรคไข้หวัดนก
- โรคไข้หวัดใหญ่ม้า(เหตุไวรัสไทป์เอ)
- โรคไข้เห็บม้า
- โรคเคเอชวี
- โรคเครฟิชเพลก
- โรคเซปทิซีเมียคิวทาเนียสอัลเซอเรทิฟ
- โรคแซลโมเนลลา
- โรคดูรีน
- โรคตัวแดงดวงขาว
- โรคทริคิเนลลา
- โรคทีเอส
- โรคเททระฮีดรัลแบคูโลไวรัส
- โรคนิวคาสเซิล
- โรคโนดาไวรัส
- โรคบรูเซลลา
- โรคบีเคดี
- โรคโบนาเมีย
- โรคปากอักเสบพุพอง
- โรคฝีดาษจระเข้
- โรคฝีดาษม้า
- โรคสุนัขบ้า
- โรคเพอร์คินซัส
- โรคโพรงจมูกและปอดอักเสบในม้า
- โรคมดลูกอักเสบติดต่อในม้า
- โรคมาร์ทีเลีย
- โรคไมโครไซทอส
- โรคเรื้อนม้า
- โรคเลปโทสไปรา
- โรคโลหิตจางติดเชื้อในม้า
- โรควัวบ้า
- โรควีเอชเอส
- โรคสเตรปโทคอกคัสในสัตว์น้ำ
- โรคสมองและไขสันหลังอักเสบในม้า
- โรคสมองและไขสันหลังอักเสบเวเนซูเอลาในม้า
- โรคสมองอักเสบญี่ปุ่น
- โรคสมองอักเสบนิปาห์
- โรคหลอดเลือดแดงอักเสบติดเชื้อในม้า
- โรคหัวเหลือง
- โรคอาร์เอสไอวี
- โรคอียูเอส
- โรคอีเอชเอ็นวี
- โรคเอชพีวี
- โรคเอ็มบีวี
- โรคเอ็มเอสเอกซ์
- โรคเอสวีซีวี
- โรคโอเอ็มวี
- โรคไอริโดไวรัส
- โรคไอเอชเอชเอ็นวี
- โรคไอเอชเอ็นวี
- วัณโรค
เงื่อนไขการนำสัตว์ ซากสัตว์หรือผลิตภัณฑ์สัตว์เข้าในราชอาณาจักร
สุนัข/แมว
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- จำนวนและชนิดสัตว์
- พันธุ์ เพศ อายุ และสี หรือรูปพรรณสัณฐานสัตว์
- ชื่อและที่อยู่ของเจ้าของหรือคอกที่เป็นแหล่งกำเนิด
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึงข้อ 5
- สัตว์ต้องมาจากแหล่งที่มีการควบคุมโรคสัตว์ และต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ไม่มีอาการหรือวิการของโรคติดเชื้อ หรือโรคติดต่อ หรือพยาธิภายนอกใด ๆ ในขณะที่ส่งออก และเหมาะสมสำหรับการขนส่งหรือเดินทาง
- ประเทศผู้ส่งออกต้องปลอดจากโรคพิษสุนัขบ้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีหรือสัตว์ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าชนิดที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการไม่น้อยกว่ายี่สิบเอ็ดวันก่อนออกเดินทาง
- สุนัขต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคเลปโตสไปรา (Leptospirosis) อย่างน้อยยี่สิบเอ็ดวัน ก่อนออกเดินทาง หรือต้องได้รับการทดสอบโรคเลปโตสไปรา (Leptospirosis) ในช่วงสามสิบวัน ก่อนออกเดินทาง และผลการทดสอบดังกล่าวต้องเป็นลบ (negative)
- สัตว์ต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อหรือโรคติดต่ออื่นๆ ที่สำคัญ คือ Distemper Hepatitis และ Parvovirus อย่างน้อยยี่สิบเอ็ดวันก่อนออกเดินทาง และวัคซีนนั้นต้องเป็นชนิดที่ได้รับรองจากทางราชการ
- กรงที่ใช้ในการขนส่งสัตว์ต้องได้รับการออกแบบในลักษณะที่ไม่ทำให้สัตว์เสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือทรมานโดยไม่จำเป็น
- ห้ามมิให้มีการสัมผัสกับสัตว์อื่นในกรณีที่พาหนะขนส่งต้องแวะจอด(transit)ที่ท่าระหว่างทางใดๆที่ได้รับการรับรองและห้ามออกนอกเขตของท่านั้นเว้นแต่จะอยู่ในบริเวณที่กักกันของท่าระหว่างทางที่ได้รับการรับรองจากทางราชการ
- เมื่อสัตว์เดินทางมาถึงท่าเข้าของประเทศไทย สัตว์นั้นจะต้องถูกกักกันในสถานกักกันที่ได้รับการรับรองเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน สัตว์ที่อยู่ในระหว่างการกักกันจะถูกตรวจสอบและหรือรักษาตามที่เห็นสมควรและจำเป็น ผู้นำเข้าหรือเจ้าของเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการกักกันสัตว์
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลาย ซึ่งสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- บุคคลที่จะนำสุนัขเข้ามาในประเทศไทยต้องมีการยื่นเรื่องขอใบอนุญาต Import permit เพื่อดำเนินการส่งเอกสารดังกล่าวไปยังประเทศต้นทางเพื่อที่จะได้นำสัตว์ออกมาได้
- เอกสารหลักฐานในการยื่นขอ Import permit
- สำเนาพาสปอร์ตของบุคคลนำสุนัขเข้ามา กรณี ติดตัวเจ้าของมาด้วย หรือ กรณี ส่งมาทางช่องทางส่งสินค้าคาร์โก้ ก็เป็นเอกสารของบุคคลที่จะรับที่ปลายทาง
- รายละเอียดต่างๆ ของสุนัข เช่น สมุดฉีดวัคซีน
- รูปถ่ายของสุนัขที่จะนำเข้ามา ( เห็นชัดเจนทั้งตัว )
- เอกสารรับรองสุขภาพ Health certificate
- สถานที่ในการยื่นเรื่อง : ด่านกักกันสัตว์สุวรรณภูมิ กรมปศุสัตว์
สุกร (หมู)
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ (Health Certificate) เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- จำนวนและชนิดสัตว์
- พันธุ์ เพศ อายุ และสี ของสัตว์
- รูปพรรณสัณฐานสัตว์
- ชื่อและ ที่อยู่ของเจ้าของหรือผู้ส่งออก และหลักฐานแสดงแหล่งกำเนิด
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 3 ถึงข้อ11
- มีใบรับรองพันธุ์ประวัติหรือสายพันธุ์ (Pedigree Certificate) กำกับมาพร้อมกับสัตว์ที่นำเข้าเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับใช้ทำพันธุ์
- สัตว์ต้องมาจากแหล่งที่มีการควบคุมโรคสัตว์ และต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ไม่มีอาการหรือวิการของโรคติดเชื้อ หรือโรคติดต่อ หรือพยาธิภายนอกใด ๆ ในขณะที่ส่งออก และเหมาะสมสำหรับการขนส่งหรือเดินทาง
- ประเทศผู้ผลิตต้องปลอดจากโรค African Swine Fever, Enterovirus encephalomyelitis (Teschen Disease) และ Rinderpest
- ประเทศหรือเขตหรือพื้นที่ที่เป็นแหล่งกำเนิดจะต้องปลอดจากโรคปากและเท้าเปื่อยซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสามปีก่อนส่งออก และไม่มีการทำวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย
- สัตว์ต้องมาจากแหล่งที่ไม่มีประวัติของการเกิดโรคอหิวาต์ (Classical Swine fever) Aujeszky’s Disease และ Porcine Respiratory and Reproductive Syndrome (PRRS) ในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีก่อนส่งออก
- สัตว์ต้องมาจากสถานที่หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีประวัติของการเกิดโรค PRRS โรคอหิวาต์สุกร (Classical Swine fever) และ Aujeszky’s disease ในช่วงระยะเวลาสองปีก่อนส่งออก รวมทั้งไม่มีการทำวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าว
- สถานที่หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดที่จะส่งออกจะต้องไม่มีประวัติการตรวจพบสัตว์ที่มีอาการหรือวิการของวัณโรค (Tuberculosis), Brucellosis, Leptospirosis, Swine Vesicular Disease, Vesicular Exanthema, Swine Influenza, Porcine Parvovirus Infection, Enterovirus Encephalomyelitis, Transmissible Gastroenteritis, Atrophic Rhinitis, Toxoplasmosis, Trichinosis และ Streptococcus suis type 2 ในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีก่อนส่งออก
- สัตว์ทุกตัวที่จะส่งออกมายังประเทศไทยจะต้องถูกกักกันเป็นเวลาสามสิบวันก่อนการส่งออก ณ สถานที่กักกันที่ได้รับการรับรองและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก
- ในช่วงระยะเวลาสามสิบวันที่ถูกกักกันก่อนส่งออก สัตว์ทุกตัวต้องผ่านการทดสอบโรคต่างๆ ด้วยวิธีการทดสอบโรคที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) และผลการทดสอบดังกล่าวต้องเป็นลบ (negative) ดังนี้
- โรค Brucellosis ทดสอบโดยวิธี serum agglutination test หรือวิธี complement fixation test โดยใช้เชื้อ Brucella abortus เป็น antigen
- โรค Aujeszky’s Disease โดยวิธี virus neutralization test หรือวิธี ELISA
- โรค Transmissible Gastroenteritis โดยวิธี virus neutralization test หรือวิธี ELISA
- โรค Atrophic Rhinitis โดยวิธี isolation test และ tube agglutination test
- โรค Leptospirosis โดยวิธี
- microscopic agglutination test ใช้ Antigens สำหรับ Leptospirosis serotypes ของประเทศผู้ส่งออก หรือ
- ฉีดยา Dihydrostreptomycin (ขนาด 25 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวสัตว์ 1 กิโลกรัม) สองครั้งห่างกันสิบสี่วัน
- โรค PRRS โดยวิธี serological test
- หมายเหตุ โรคดังกล่าวในข้อ 10 อาจทำการทดสอบโดยวิธีอื่นที่กำหนดโดยสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties (OIE))
- สัตว์ต้องได้รับการถ่ายพยาธิด้วยยาถ่ายพยาธิชนิดกว้าง (broad spectrum) ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ได้ และกำจัดพยาธิภายนอกในระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนการส่งออก
- พาหนะและตู้บรรทุกที่ใช้ในการขนส่งสัตว์เพื่อการส่งออกต้องได้รับการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโดยทั่วทันทีก่อนที่จะใช้บรรทุกสัตว์ที่จะส่งออก การดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ OIE International Animal Health Code
- สถานที่ที่จัดไว้สำหรับสัตว์ในระหว่างการขนส่งต้องได้รับการออกแบบในลักษณะที่ไม่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือทรมานโดยไม่จำเป็น การดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ OIE International Animal Health Code
- ภายหลังที่ออกเดินทางจากประเทศต้นทางแล้ว เรือ เครื่องบิน หรือพาหนะใดๆ ที่ใช้บรรทุกสัตว์อาจแวะที่ท่าซึ่งผ่านการรับรองแล้วเท่านั้น ขณะที่แวะสัตว์นั้นจะต้องไม่มีการสัมผัสกับสัตว์อื่นที่มีภาวะทางสุขภาพแตกต่างกัน การนำสัตว์ลงจากพาหนะหรือการเคลื่อนย้ายสัตว์อาจกระทำได้โดยต้องอยู่ในการดูแลและรับรองโดยเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของประเทศที่แวะ
- ห้ามนำสุกรหรือสัตว์อื่นที่มีภาวะทางสุขภาพแตกต่างกัน รวมทั้งอาหารสัตว์ ฟางหรือหญ้าแห้งขึ้นมาบนเรือหรือเครื่องบินภายหลังจากที่ออกจากประเทศต้นทาง
- เมื่อสัตว์มาถึงท่าเข้าของประเทศไทยจะต้องถูกกักกันภายหลังการนำเข้า ณ สถานกักกันที่ได้รับการรับรองเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน สัตว์ที่อยู่ในระหว่างการกักกันจะถูกตรวจสอบและหรือ รักษาตามที่เห็นสมควรและจำเป็น ผู้นำเข้าหรือเจ้าของเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการกักกันสัตว์
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขศาสตร์ซากสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- ชนิดและการบรรจุหีบห่อของเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์สุกร
- จำนวนชิ้นหรือกล่อง และน้ำหนักสุทธิ
- ชื่อและที่อยู่และเลขหมายทะเบียนของโรงฆ่าสัตว์และโรงงานแปรรูปที่ได้รับการรับรอง
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ส่งออกและผู้รับปลายทาง
- วันที่เข้าโรงฆ่าสัตว์ วันที่ผลิต วันที่บรรจุและวันที่ส่งออก
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึง ข้อ 9
- ประเทศต้นทางต้องปลอดจากโรค African Swine Fever และโรครินเดอร์เปสต์
- ประเทศหรือเขตต้นทางต้องปลอดจากโรคปากและเท้าเปื่อยซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties, OIE) เป็นเวลาอย่างน้อยสามปี ก่อนการส่งออก
- ฟาร์มหรือสถานที่เลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดจะต้องปลอดจากโรคติดต่อหรือโรคระบาดชนิดใด ๆ ที่จะต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ภายในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดของสัตว์นั้นตลอดระยะเวลาหนึ่งปีก่อนการฆ่าจนถึงเวลาส่งออก
- เนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์จะต้องมาจากสุกรที่เกิดและเลี้ยงอยู่ในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด หรืออยู่ในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่เดือนก่อนการฆ่า และจะต้องมาจากฟาร์มที่ได้มาตรฐานภายใต้การกำกับดูแลและรับรองของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกและนำเข้า
- สุกรจะต้องได้รับการตรวจก่อนฆ่า (ante-mortem)และภายหลังจากฆ่า (post-mortem) แล้ว โดยผลการตรวจดังกล่าวจะต้องไม่พบโรคระบาดหรือโรคติดเชื้อใดๆ
- เนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์สุกรต้องผ่านกระบวนการผลิตในโรงงานที่ได้รับการรับรองเพื่อการส่งออกมายังประเทศไทยภายใต้มาตรการทางด้านสุขอนามัยที่ควบคุมดูแลโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก รวมทั้งมาตรการทุกอย่างจะต้องดำเนินการเพื่อที่จะป้องกันการปนเปื้อนใด ๆ ที่อาจมีได้ในทุกขั้นตอนระหว่างการผลิต การบรรจุหีบห่อ การเก็บ จนถึงการส่งออก
- เนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์สุกรต้องไม่มีสารป้องกันการเน่าเสีย สารปรุงแต่ง หรือสารอื่นใดที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์
- เนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์สุกรต้องผ่านการสุ่มตัวอย่างเพื่อที่จะทดสอบเชื้อจุลินทรีย์ที่มีได้ในอาหารรวมทั้งยา ฮอร์โมน ยาฆ่าแมลง สารเร่งเนื้อแดง (beta-agonists) สารพิษ (toxin) และสารอื่นใดที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ของมนุษย์ และต้องมีปริมาณหรือระดับไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดโดยมาตรฐานของประเทศหรือมาตรฐานระหว่างประเทศ เช่น Codex Alimentarius
- ยานพาหนะและตู้บรรทุกที่ใช้ในการขนส่งเนื้อเพื่อการส่งออกจะต้องล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคก่อนการส่งออก
- เนื้อสุกรหรือผลิตภัณฑ์สุกรจะต้องมีเครื่องหมายสุขศาสตร์ หรือสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าผ่านการตรวจจากเจ้าหน้าที่ตรวจเนื้อแล้วซึ่งอาจจะเป็นในรูปของฉลาก รอยหรือตราประทับ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเนื้อสุกรหรือผลิตภัณฑ์สุกรดังกล่าวได้ผลิตตามมาตรฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับของประเทศไทย
- เนื้อสุกรหรือผลิตภัณฑ์สุกรจะต้องไม่มีการขนถ่ายผ่านท่าอื่นใดระหว่างการขนส่ง
- เนื้อสุกรหรือผลิตภัณฑ์สุกรจะต้องถูกตรวจสอบหรือกักกันเพื่อทดสอบทางห้องปฏิบัติการภายหลังการนำเข้า เจ้าของหรือผู้นำเข้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการดังกล่าวเองทั้งสิ้น
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งซากสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกหรือลงนามกำกับหนังสือรับรองที่ออกโดยสัตวแพทย์ผู้ควบคุมดูแลศูนย์การผลิตน้ำเชื้อสุกรโดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- ชื่อและที่อยู่ของศูนย์ผลิตน้ำเชื้อสุกรและโรงเรือนต้นทาง
- เลขที่ ชนิด และพันธุ์
- ทะเบียนประวัติของสัตว์เก็บน้ำเชื้อ
- วันที่เก็บน้ำเชื้อ
- เครื่องหมายบนหลอดเก็บน้ำเชื้อที่ไม่สามารถลบได้ง่าย
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึง ข้อ 7
- ประเทศต้นทางต้องปลอดจากโรค African Swine Fever และโรครินเดอร์เปสต์ ช่วงระยะสามปีก่อนการเก็บน้ำเชื้อเพื่อส่งออกมายังประเทศไทยจนกระทั่งถึงวันที่ส่งออกน้ำเชื้อมายังประเทศไทย
- ประเทศหรือเขตต้นทางต้องปลอดจากโรคปากและเท้าเปื่อยซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties, OIE)
- น้ำเชื้อที่จะส่งมายังประเทศไทยจะต้องผลิตมาจากศูนย์การผลิตน้ำเชื้อซึ่งได้รับการรับรองจากหน่วยสัตวแพทย์ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกและอยู่ภายใต้การดูแลและมาตรการสุขอนามัยของสัตวแพทย์รัฐบาลผู้มีอำนาจ ขั้นตอนของการรับรองศูนย์ผลิตและมาตรการสุขอนามัยจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ OIE International Animal Health Code
- พ่อพันธุ์และตัวล่อให้ผสมจะเข้าศูนย์การผลิตน้ำเชื้อได้ต้องปรากฎว่าสัตว์มีสุขภาพดี ไม่มีประวัติของการแสดงอาการหรือวิการของโรคดังต่อไปนี้ คือ Tuberculosis, Brucellosis, Leptospirosis, Vesicular Exanthema, Vesicular Stomatitis, Swine Vesicular Disease, Swine Influenza, Hog Cholera(Classical Swine Fever), Aujeszky’s Disease, Porcine Parvovirus Infection, Porcine Respiratory and Reproductive Syndrome (PRRS), Atrophic Rhinitis, Transmissible Gastroenteritis และ Teschen Disease ในช่วงหนึ่งปีก่อนการเก็บน้ำเชื้อจนกระทั่งถึงวันที่ส่งน้ำเชื้อมายังประเทศไทย
- สัตว์จะต้องมีสุขภาพดีและผ่านการทดสอบโรค Bovine Tuberculosis และ Brucellosis (B. abortus, B. suis) ภายในสามสิบวันก่อนการเข้ากักแยกที่ศูนย์ผลิตน้ำเชื้อ
- พ่อพันธุ์และตัวล่อให้ผสมซึ่งใช้ในการเก็บน้ำเชื้อจะต้องแยกกักในศูนย์ผสมเทียมเป็นอย่างน้อยสามสิบวัน ก่อนการทดสอบซ้ำและให้ผลทดสอบเป็นลบ (negative)ด้วยวิธีการทดสอบโรคที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) ต่อโรคดังต่อไปนี้
- วัณโรค (Tuberculosis) ทดสอบโดยวิธีintradermal tuberculin โดยใช้PPD tuberculin และอ่านผลในเจ็ดสิบสองชั่วโมง หรือสัตว์นั้นอยู่ในประเทศหรืออยู่ในอาณาเขตของประเทศหรืออยู่ในศูนย์ผสมเทียมซึ่งสัตว์เหล่านี้ปลอดจากโรค bovine tuberculosis และทดสอบโรคนี้เป็นประจำอย่างน้อยทุก สิบสองเดือน
- โรค Brucellosis โดยใช้ buffered Brucella antigen และวิธี complement fixation test และไม่พบ Brucella agglutinin ในน้ำเชื้อ หรือสัตว์นั้นอยู่ในประเทศหรืออยู่ในอาณาเขตของประเทศหรืออยู่ในศูนย์ผสมเทียม ซึ่งสัตว์ทุกชนิดนั้นได้รับรองว่าปลอดโรค Brucellosis (B. abortus, B. suis) อย่างเป็นทางการและมีการตรวจประจำอย่างน้อยทุกสิบสองเดือน
- โรค Aujeszky’s Disease โดยวิธี virus neutralization หรือ ELISA
- Transmissible Gastroenteritis โดยวิธี serum neutralization test
- Teschen Disease โดยวิธี serum neutralization test
- Swine Vesicular Disease โดยวิธี serum neutralization test
- PRRS โดย serological test
- Leptospirosis ทดสอบโดย ก) microscopic agglutination test (MAT) โดยใช้แอนติเจนสำหรับ Leptospira ซีโรไทป์ที่มีในประเทศผู้ส่งออก หรือ ฉีด dihydrostreptomycin (25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักสัตว์มีชีวิต) จำนวนสอง เข็มห่างกันสิบสี่วัน
หมายเหตุ โรคดังกล่าวในข้อ 7. อาจทำการทดสอบโดยวิธีอื่นที่กำหนดโดยสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties (OIE))
- น้ำเชื้อจะต้องเก็บจากสัตว์ตัวที่มีความปกติทางเพศ (normal libido) และมีประวัติความสมบูรณ์รวมทั้งประวัติสายพันธุ์ที่จะบ่งได้ว่าไม่มีประวัติเกี่ยวกับข้อบกพร่องทางกรรมพันธุ์
- หากมีการใช้สารป้องกันการเน่าเสีย และยาปฏิชีวนะ รวมทั้งยาทำลายเชื้อ (mycoplasmocidal drug) ที่ใช้เป็นตัวทำละลายจะต้องแจ้งให้ทราบ
- น้ำเชื้อจะต้องถูกเก็บ ผลิตและรักษาอย่างเข้มงวดและให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ OIE International Animal Health code
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งน้ำเชื้อสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
แพะหรือแกะ
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ (HealthCertificate) เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- จำนวน ชนิดสัตว์
- พันธุ์ เพศ และอายุ
- รูปพรรณสัณฐานสัตว์
- ชื่อและที่อยู่เจ้าของหรือผู้ส่งออก และหลักฐานแสดงแหล่งกำเนิด
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 3 ถึงข้อ 11
- มีใบรับรองพันธุ์ประวัติหรือสายพันธุ์ (Pedigree Certificate) กำกับมาพร้อมกับสัตว์ที่นำเข้าเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับใช้ทำพันธุ์
- สัตว์ต้องมาจากแหล่งที่มีการควบคุมโรคสัตว์ และต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ไม่มีอาการหรือวิการของโรคติดเชื้อ หรือโรคติดต่อ หรือพยาธิภายนอกใด ๆ ในขณะที่ส่งออก และเหมาะสมสำหรับการขนส่งหรือเดินทาง
- ประเทศต้นทางต้องปลอดจากโรค Scrapie, โรครินเดอร์เปสต์, โรค Contagious Caprine Pleuropneumonia, โรค Maedi-Visna, โรค Pulmonary Adenomatosis (Jaggsiekte), โรค Peste des Petits Ruminant, โรค Sheep pox และ โรค Goat pox
- ประเทศหรือเขตหรือพื้นที่ที่เป็นแหล่งกำเนิดต้องปลอดจากโรคปากและเท้าเปื่อยซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปีก่อนส่งออก และไม่มีการทำวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย
- สัตว์ต้องมาจากแหล่งที่ไม่มีประวัติของการเกิดโรคCaprine arthritis/Encephalomyelitis ในช่วงระยะเวลาสามปีก่อนการส่งออก
- สัตว์ต้องมาจากแหล่งที่ไม่มีประวัติของการเกิดโรค Bluetongue, โรค Epizootic Hemorrhagic Disease, โรค Vesicular Stomatitis, และโรค Contagious Agalactia ในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีก่อนส่งออก
- สถานที่หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดที่จะส่งออกจะต้องไม่มีประวัติการตรวจพบสัตว์ที่มีอาการหรือวิการของโรค Contagious Pustular Dermatitis, โรค Enzootic Abortion, โรค Toxoplasmosis, วัณโรค (Tuberculosis), โรคบรูเซลโลซีส (Ovine and Caprine Brucellosis), โรคเลปโทสไปรา (Leptospirosis), โรค Listeriosis, โรค Ovine Chlamydiosis, โรคติดเชื้อ Campylobacter fetus, โรค Melioidosis, โรค Johne’s Disease และ โรคติดเชื้อ Corynebacterium ovis ในช่วงระยะเวลาสองปีก่อนส่งออก
- สัตว์ทุกตัวที่จะส่งออกมายังประเทศไทยจะต้องถูกกักกันเป็นเวลาสามสิบวันก่อนการส่งออก ณ สถานที่กักกันที่ได้รับการรับรองและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก
- ในช่วงระยะเวลาสามสิบวันที่ถูกกักกันก่อนส่งออก สัตว์ทุกตัวต้องผ่านการทดสอบโรคต่างๆ ด้วยวิธีการทดสอบโรคที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) และผลการทดสอบดังกล่าวต้องเป็นลบ (negative) ดังนี้
- วัณโรค (Tuberculosis) โดยวิธี intradermal cervical tuberculin test หรือ caudal-fold tuberculin test โดยใช้ bovine PPD tuberculin เป็นสารทดสอบ และอ่านผลการทดสอบที่ เจ็ดสิบสองชั่วโมง
- โรคแท้งติดต่อ (Brucellosis) โดยวิธี rose bengal plate agglutination test หรือโดยวิธี complement fixation test โดยใช้ Brucella abortus, B. ovis และ mellitensis antigens เป็นสารทดสอบ
- โรค Bluetongue และโรค Epizootic Haemorrhagic Disease โดยวิธี agar gel immonodiffusion test หรือโดยวิธี ELISAโดยใช้สารแอนติเจนในการทดสอบที่เป็นเชื้อไวรัสซีโรไทป์ต่างๆ ที่พบในประเทศผู้ส่งออก
- โรคเลปโทสไปรา (Leptospirosis) โดยวิธี
- microscopic agglutination test โดยใช้สารแอนติเจนในการทดสอบที่เป็นเชื้อ Leptospira ซีโรไทป์ต่างๆ ที่พบในประเทศผู้ส่งออก หรือ
- ฉีดยา Dihydrostreptomycin (ขนาด 25 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวสัตว์ 1 กิโลกรัม) สองครั้งห่างกันสิบสี่วัน
- โรค Johne’s Disease โดยวิธี agar gel immunodiffusion test หรือ ELISA และ/หรือ agent detection
หมายเหตุ โรคดังกล่าวในข้อ 10 อาจทำการทดสอบโดยวิธีอื่นที่กำหนดโดยสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties (OIE))
- สัตว์ต้องได้รับการถ่ายพยาธิด้วยยาถ่ายพยาธิชนิดกว้าง (broad spectrum) ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ได้ และกำจัดพยาธิภายนอกในระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนการส่งออก
- พาหนะและตู้บรรทุกที่ใช้ในการขนส่งสัตว์เพื่อการส่งออกต้องได้รับการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโดยทั่วทันทีก่อนที่จะใช้บรรทุกสัตว์ที่จะส่งออก การดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ OIE International Animal Health Code
- สถานที่ที่จัดไว้สำหรับสัตว์ในระหว่างการขนส่งต้องได้รับการออกแบบในลักษณะที่ไม่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือทรมานโดยไม่จำเป็น การดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ OIE International Animal Health Code
- ภายหลังที่ออกเดินทางจากประเทศต้นทางแล้ว เรือ เครื่องบิน หรือพาหนะใดๆ ที่ใช้บรรทุกสัตว์อาจแวะที่ท่าซึ่งผ่านการรับรองแล้วเท่านั้น ขณะที่แวะสัตว์นั้นจะต้องไม่มีการสัมผัสกับสัตว์อื่นที่มีภาวะทางสุขภาพแตกต่างกัน การนำสัตว์ลงจากพาหนะหรือการเคลื่อนย้ายสัตว์อาจกระทำได้โดยต้องอยู่ในการดูแลและรับรองโดยเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของประเทศที่แวะ
- ห้ามนำสัตว์ประเภทสี่กระเพาะหรือสัตว์อื่นที่มีภาวะทางสุขภาพแตกต่างกัน รวมทั้งอาหารสัตว์ ฟางหรือหญ้าแห้งขึ้นมาบนเรือหรือเครื่องบินภายหลังจากที่ออกจากประเทศต้นทาง
- เมื่อสัตว์มาถึงท่าเข้าของประเทศไทยจะต้องถูกกักกันภายหลังการนำเข้า ณ สถานกักกันที่ได้รับการรับรองเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน สัตว์ที่อยู่ในระหว่างการกักกันจะถูกตรวจสอบและหรือ รักษาตามที่เห็นสมควรและจำเป็น ผู้นำเข้าหรือเจ้าของเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการกักกันสัตว์
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกหรือลงนามกำกับหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ที่ออกโดยสัตวแพทย์ผู้ควบคุมดูแลศูนย์ผลิตนำเชื้อ โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- ชื่อและที่อยู่ของฟาร์มและศูนย์ผลิตน้ำเชื้อ
- จำนวน ชนิด และพันธุ์
- หมายเลขประจำตัวพ่อพันธุ์
- วันที่เก็บน้ำเชื้อ
- เครื่องหมายบนหลอดเก็บน้ำเชื้อที่ไม่สามารถลบได้ง่าย
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึงข้อ11
- ประเทศต้นทางต้องปลอดจากโรค Rinderpest, Peste des Petits Ruminants, Contagious Caprine Pleuropneumonia, Scrapie, Maedi-Visna, Caprine Arthritis/Encephalitis, Pulmonary Adenomatosis (Jaggsiekte), Sheep pox และ Goat pox เป็นระยะเวลาสองปีก่อนการเก็บน้ำเชื้อเพื่อการส่งออกจนกระทั่งถึงวันที่ส่งออกมายังประเทศไทย
- ประเทศหรือเขตต้นทางต้องปลอดจากโรคปากเท้าเปื่อย (Foot- and- Mouth Disease, FMD) ซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties, OIE)
- น้ำเชื้อที่จะส่งมายังประเทศไทยจะต้องผลิตมาจากศูนย์ผลิตน้ำเชื้อที่ได้รับการรับรองและอยู่ภายใต้การดูแลและควบคุมมาตรการด้านสุขอนามัยจากสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก ขั้นตอนของการรับรองศูนย์ผลิตน้ำเชื้อและมาตรการด้านสุขอนามัยจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ OIE International Animal Health Code
- ศูนย์ผลิตน้ำเชื้อจะต้องอยู่ในบริเวณที่ไม่มีโรค Bluetongue หรือโรคอื่นๆที่มีสาเหตุจาก ไวรัสที่มีความสัมพันธ์กับไวรัส Bluetongue ในระยะเวลาหนึ่งปี ก่อนการเก็บน้ำเชื้อจนกระทั่งถึงวันที่ส่งออกมายังประเทศไทย
- พ่อพันธุ์และตัวล่อจะต้องมาจากฝูงที่ปลอดโรคและมีความเข้มงวดในด้านการควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ และต้องปลอดจากโรคที่ต้องแจ้งในประเทศนั้นรวมถึงโรค Caprine and Ovine Brucellosis อย่างเป็นทางการ รวมทั้งต้องไม่มีอาการหรือวิการของโรคดังต่อไปนี้
- Contagious agalactia (Mycoplasma agalactia) อย่างน้อยหกเดือน
- Peste des Petits Ruminants, Contagious Caprine Pleuropneumonia, Caseous Lymphadenitis and Brucella ovis infection อย่างน้อยหนึ่งปี
- Scrapie, Pulmonary Adenomatosis, Maedi-Visna and Caprine Arthritis/Encephalitis (CAE) อย่างน้อยสามปี
- พันธุ์และตัวล่อจะต้องถูกกักตรวจอย่างเอกเทศอย่างน้อยสามสิบวัน และผลการทดสอบโรคเป็นลบ (negative) ต่อโรคต่อไปนี้ Caprine and Ovine Brucellosis, Contagious Caprine Pleuropneumonia และ Tuberculosis (เฉพาะแพะ), Maedi-Visna and Caprine Arthritis/Encephalitis, Border Disease และ Bluetongue
- พ่อพันธุ์และตัวล่อที่จะใช้เก็บน้ำเชื้อจะต้องถูกกักกันภายในศูนย์ผสมเทียมเป็นเวลาอย่างน้อยสามสิบวัน เพื่อทดสอบซ้ำและผลการทดสอบต้องเป็นลบ (negative) ด้วยวิธีการทดสอบโรคที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) ต่อโรคดังต่อไปนี้
- Tuberculosis (เฉพาะแพะ) ทดสอบโดยวิธี single หรือ comparative tuberculin test หรือสัตว์นั้นอยู่ในประทศ เขต หรือในศูนย์ผสมเทียมที่ซึ่งสัตว์ทุกตัวปลอดจากโรค tuberculosis อย่างเป็นทางการ และมีการทดสอบเป็นประจำอย่างน้อยทุกๆ สิบสองเดือน
- Caprine and Ovine Brucellosis โดยใช้วิธี buffered Brucella antigen และวิธี complement fixation test สำหรับ Brucella ovis infection หรือโดยใช้วิธี complement fixation test ควบกับการเพาะเชื้อจากตัวอย่างน้ำเชื้อ หรือสัตว์นั้นอยู่ในประทศ เขต หรือในศูนย์ผสมเทียมที่ซึ่งสัตว์ทุกตัวปลอดจากโรค Caprine and Ovine brucellosis อย่างเป็นทางการ และมีการทดสอบเป็นประจำอย่างน้อยทุกๆ สิบสองเดือน
- Bluetongue โดยวิธี agar gel immunodiffusion test ใช้ antigen สำหรับ virus ที่พบในประเทศที่ส่งออก หรือ โดยวิธี complement fixation test หรือ ELISA
- Maedi-Visna and Caprine Arthritis/Encephalitis โดยวิธี agar gel immunodiffusion test หรือ ELISA
- Leptospirosis ทดสอบโดยวิธี
- microscopic agglutination test (MAT) โดยใช้ antigen สำหรับเชื้อ Leptospira serotypes ที่มีในประเทศผู้ส่งออก หรือ
- dihydrostreptomycin (25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัวสัตว์มีชีวิต) จำนวนสองครั้งห่างกันสิบสี่วัน
- Johne’s disease โดยวิธี complement fixation test หรือ ELISA และหรือโดยการตรวจหาเชื้อ (agent detection)
หมายเหตุ โรคดังกล่าวในข้อ 8 อาจทำการทดสอบโดยวิธีอื่นที่กำหนดโดยสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ
- น้ำเชื้อจะต้องเก็บจากสัตว์ตัวที่มีความปกติทางเพศ มีคุณภาพ และต้องไม่มีข้อบกพร่องทางพันธุกรรม
- หากมีการใช้สารป้องกันการเน่าเสียและยาปฏิชีวนะ รวมถึงยาที่ใช้ทำลายเชื้อที่ผสมอยู่ในตัวทำละลายจะต้องแจ้งให้ทราบ
- น้ำเชื้อจะต้องเก็บ ผลิต และรักษาอย่างเข้มงวด ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ OIE International Animal Health Code
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งซากสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
โคหรือกระบือ
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ (HealthCertificate) เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- จำนวน ชนิดสัตว์
- พันธุ์ เพศ และอายุ
- รูปพรรณสัณฐานสัตว์
- ชื่อและที่อยู่เจ้าของหรือผู้ส่งออก และหลักฐานแสดงแหล่งกำเนิด
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 3 ถึงข้อ 11
- มีใบรับรองพันธุ์ประวัติหรือสายพันธุ์ (Pedigree Certificate) กำกับมาพร้อมกับสัตว์ที่นำเข้าเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับใช้ทำพันธุ์
- สัตว์ต้องมาจากแหล่งที่มีการควบคุมโรคสัตว์ และต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ไม่มีอาการหรือวิการของโรคติดเชื้อ หรือโรคติดต่อ หรือพยาธิภายนอกใด ๆ ในขณะที่ส่งออก และเหมาะสมสำหรับการขนส่งหรือเดินทาง
- ประเทศต้นทางต้องปลอดจากโรครินเดอร์เปสต์, โรค Contagious Bovine Pleuropneumonia (CBPP), โรค East Coast Fever, Rift Valley Fever, Bovine Spongiform Encephalopathy (BSE) และโรค Q Fever
- ประเทศหรือเขตหรือพื้นที่ที่เป็นแหล่งกำเนิดต้องปลอดจากโรคปากและเท้าเปื่อยซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปีก่อนส่งออก และไม่มีการทำวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย
- สัตว์ต้องมาจากแหล่งที่ไม่มีประวัติของการเกิดโรค Bovine Malignant Catarrh และ Johne’s Disease ในช่วงระยะเวลาสามปีก่อนการส่งออก
- สัตว์ต้องมาจากแหล่งพื้นที่ที่ไม่มีประวัติของการเกิดโรค Bovine Ephemeral Fever, Vesicular Stomatitis, Bluetongue (BT) และโรคอื่นที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสที่สัมพันธ์กับ Bluetongue, Anaplasmosis, Babesiosis, Theileriosis และ Trypanosomiasis ในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีก่อนส่งออก
- สถานที่หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดที่จะส่งออกจะต้องไม่มีประวัติการตรวจพบสัตว์ที่มีอาการหรือวิการของวัณโรค (Tuberculosis) โรคบรูเซลโลซีส (Brucellosis) โรคเลปโทสไปรา (Leptospirosis), Infectious Bovine Rhinotracheitis/Infectious Pustular Vulvovaginitis (IBR/IPV), Bovine Viral Diarrhoea/Mucosal Disease (BVD/MD), Mycoplasmosis, Vesicular Stomatitis, Bluetongue, Enzootic Bovine Leukosis Campylobacter fetus และ Trichomonas foetus ในช่วงระยะเวลาสองปีก่อนส่งออก
- สัตว์ทุกตัวที่จะส่งออกมายังประเทศไทยจะต้องถูกกักกันเป็นเวลาสามสิบวันก่อนการส่งออก ณ สถานที่กักกันที่ได้รับการรับรองและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก
- ในช่วงระยะเวลาสามสิบวันที่ถูกกักกันก่อนส่งออก สัตว์ทุกตัวต้องผ่านการทดสอบโรคต่างๆ ด้วยวิธีการทดสอบโรคที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) และผลการทดสอบดังกล่าวต้องเป็นลบ (negative) ดังนี้
- วัณโรค (Tuberculosis) โดยวิธี intradermal cervical tuberculin test หรือ caudal-fold tuberculin test โดยใช้สารเคมี Bovine PPD Tuberculin เป็นสารทดสอบ และอ่านผลการทดสอบที่ เจ็ดสิบสอง ชั่วโมง
- โรคบรูเซลโลซีส (Brucellosis) โดยวิธี serum agglutination test หรือโดยวิธี complement fixation test โดยใช้สารเคมี Brucella abortus antigen เป็นสารทดสอบ
- โรค Bluetongue และโรค Enzootic Bovine Leukosis โดยวิธี agar gel immonodiffusion test
- โรค Infectious Bovine Rhinotracheitis หรือโรค Infectious Pustular Vulvovaginitis โดยวิธี serum neutralization test
- โรค Johne’s Disease โดยวิธี complement fixation test หรือโดยวิธี ELISA และ/หรือโดยวิธี agent detection
- โรคเลปโทสไปรา (Leptospirosis) โดยวิธี
- microscopic agglutination test โดยใช้สารแอนติเจนเป็นสารทดสอบเชื้อ Leptospira ซีโรไทป์ต่างๆ ที่พบในประเทศผู้ส่งออก หรือ
- 6.2 ฉีดยา Dihydrostreptomycin (ขนาด 25 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวสัตว์ 1 กิโลกรัม) สองครั้งห่างกันสิบสี่วัน
- โรคติดเชื้อ Campylobacter fetus และ Trichomonas foetus โดยการเพาะเชื้อ (Culture Test) จากน้ำล้างหนังหุ้มปลายลึงค์ (Preputial washing) หรือน้ำล้างช่องคลอด (Vaginal washing) หรือโดยวิธี serological test
- โรค Babesiosis,โรค Trypanosomiasis, โรค Anaplasmosis และโรค Theileriasis
- โดยการทดสอบแสดงผลการทดสอบเป็นลบ โดยวิธีการที่ใช้ทดสอบแต่ละโรคต้องถูกระบุในหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ หรือ
- โดยการรับรองแหล่งกำเนิดว่าปลอดจากโรคที่กล่าวในข้อ 8 ในช่วงระยะเวลาสิบสองเดือน ก่อนการส่งออก
หมายเหตุ โรคดังกล่าวในข้อ 10 อาจทำการทดสอบโดยวิธีอื่นที่กำหนดโดยสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties (OIE))
- สัตว์ต้องได้รับการถ่ายพยาธิด้วยยาถ่ายพยาธิชนิดกว้าง (broad spectrum) ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ได้ และกำจัดพยาธิภายนอกในระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนการส่งออก
- พาหนะและตู้บรรทุกที่ใช้ในการขนส่งสัตว์เพื่อการส่งออกต้องได้รับการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโดยทั่วทันทีก่อนที่จะใช้บรรทุกสัตว์ที่จะส่งออก การดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ OIE International Animal Health Code
- สถานที่ที่จัดไว้สำหรับสัตว์ในระหว่างการขนส่งต้องได้รับการออกแบบในลักษณะที่ไม่มี ความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือทรมานโดยไม่จำเป็น การดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ OIE International Animal Health Code
- ภายหลังที่ออกเดินทางจากประเทศต้นทางแล้ว เรือ เครื่องบิน หรือพาหนะใดๆ ที่ใช้บรรทุกสัตว์อาจแวะที่ท่าซึ่งผ่านการรับรองแล้วเท่านั้น ขณะที่แวะสัตว์นั้นจะต้องไม่มีการสัมผัสกับสัตว์อื่นที่มีภาวะทางสุขภาพแตกต่างกัน การนำสัตว์ลงจากพาหนะหรือการเคลื่อนย้ายสัตว์อาจกระทำได้โดยต้องอยู่ในการดูแลและรับรองโดยเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของประเทศที่แวะ
- ห้ามนำสัตว์เคี้ยวเอื้องหรือสัตว์อื่นที่มีภาวะทางสุขภาพแตกต่างกัน รวมทั้งอาหารสัตว์ ฟางหรือหญ้าแห้งขึ้นมาบนเรือหรือเครื่องบินภายหลังจากที่ออกจากประเทศต้นทาง
- เมื่อสัตว์มาถึงท่าเข้าของประเทศไทยจะต้องถูกกักกันภายหลังการนำเข้า ณ สถานกักกันที่ได้รับการรับรองเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน สัตว์ที่อยู่ในระหว่างการกักกันจะถูกตรวจสอบและหรือ รักษาตามที่เห็นสมควรและจำเป็น ผู้นำเข้าหรือเจ้าของเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการกักกันสัตว์
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก หรือลงนามกำกับในหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ที่ออกโดยสัตวแพทย์ผู้ควบคุมดูแลศูนย์ผลิตนำเชื้อ โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- ชื่อและที่อยู่ของฟาร์มและศูนย์ผลิตน้ำเชื้อ
- จำนวน ชนิด และพันธุ์
- หมายเลขประจำตัวพ่อพันธุ์
- วันที่เก็บน้ำเชื้อ
- เครื่องหมายบนหลอดเก็บน้ำเชื้อที่ไม่สามารถลบได้ง่าย
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึงข้อ 9
- ประเทศต้นทางต้องปลอดจากโรค Rinderpest และ Contagious Bovine Pleuropneumonia เป็นระยะเวลาสองปีก่อนการเก็บน้ำเชื้อเพื่อการส่งออกจนกระทั่งถึงวันที่ส่งออกมายังประเทศไทย
- ประเทศหรือเขตต้นทางต้องปลอดจากโรคปากเท้าเปื่อย (Foot -and- Mouth Disease, FMD) และโรควัวบ้า (Bovine Spongiform Encephalopathy,BSE) ซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties, OIE)
- น้ำเชื้อที่จะส่งมายังประเทศไทยจะต้องผลิตมาจากศูนย์ผลิตน้ำเชื้อที่ได้รับการรับรองและอยู่ภายใต้การดูแลและควบคุมมาตรการด้านสุขอนามัยจากสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก ขั้นตอนของการรับรองศูนย์ผลิตน้ำเชื้อและมาตรการด้านสุขอนามัยจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ OIE International Animal Health Code
- ศูนย์ผลิตน้ำเชื้อจะต้องอยู่ในบริเวณที่ไม่มีโรค Bluetongue หรือโรคอื่นๆที่มีสาเหตุจาก ไวรัสที่มีความสัมพันธ์กับไวรัส Bluetongue ในระยะเวลาหนึ่งปี ก่อนการเก็บน้ำเชื้อจนกระทั่งถึงวันที่ส่งออกมายังประเทศไทย
- พ่อพันธุ์หรือตัวล่อที่จะนำเข้ามาในศูนย์ผลิตน้ำเชื้อ จะต้องมีสุภาพดีและปราศจากอาการหรือวิการของโรคดังต่อไปนี้ คือ Tuberculosis, Brucellosis, Leptospirosis, Johne’s Disease, Enzootic Bovine Leucosis, Infectious Bovine Rhinotracheitis/Infectious Pustular Vulvovaginitis (IBR/IPV), Bovine Viral Diarrhoea Disease (BVD/MD), Mycoplasmosis, Vesicular Stomatitis, และปราศจากการติดเชื้อ Campylobacter fetus และ Trichomonas foetus ในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนการเก็บน้ำเชื้อจนกระทั่งถึงวันที่ส่งออกมายังประเทศไทย
- สัตว์จะต้องมีสุขภาพดีและผ่านการตรวจโรค Bovine Tuberculosis, Bovine brucellosis, Campylobacter fetus var. venerealis, และ Trichomoniasis เป็นเวลาสามสิบวัน ก่อนการนำเข้ามาในศูนย์ผลิตน้ำเชื้อ
- สัตว์ทุกตัวที่มีอายุเกินหกเดือนที่อยู่ภายในศูนย์จะต้องผ่านการตรวจโรค Bovine Viral Diarrhoea ด้วยวิธีVirus isolation และได้ผลเป็นลบ (negative)
- พ่อพันธุ์และตัวล่อที่จะใช้รีดน้ำเชื้อจะต้องกักกันภายในศูนย์ผสมเทียมเป็นเวลาอย่างน้อยสามสิบวัน เพื่อทดสอบซ้ำและผลการทดสอบเป็นลบ (negative) ด้วยวิธีการทดสอบโรคที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) ต่อโรคดังต่อไปนี้
- วัณโรค (Tuberculosis) ทดสอบโดยวิธี intradermal tuberculin testโดยใช้ PPD tuberculin และอ่านผลในเจ็ดสิบสองชั่วโมง หรือสัตว์นั้นอยู่ในประทศ เขต หรือในศูนย์ผสมเทียมที่ซึ่งสัตว์ทุกตัวปลอดจากโรค bovine tuberculosis อย่างเป็นทางการ และมีการทดสอบเป็นประจำอย่างน้อยทุกๆ สิบสองเดือน
- Brucellosis โดยใช้วิธี buffered Brucella antigen และวิธี complement fixation test และต้องไม่พบ Brucella agglutinin ในน้ำเชื้อ หรือสัตว์นั้นอยู่ในประทศ เขต หรือในศูนย์ผสมเทียมที่ซึ่งสัตว์ทุกตัวปลอดจากโรค bovine brucellosis อย่างเป็นทางการ และมีการทดสอบเป็นประจำอย่างน้อยทุกๆ สิบสองเดือน
- Campylobacter fetus var. venerealis and Trichomonas foetus โดยวิธี direct microscopic และการเพาะเชื้อที่เก็บได้โดยวิธี preputial/vaginal washing หรือ มีโปรแกรมใช้ยาปฏิชีวนะล้างอวัยวะเพศให้กับสัตว์เพื่อกำจัดการติดเชื้อ Campylobactor เป็นประจำ
- Bluetongue โดยวิธี agar gel immunodiffusion test ใช้ antigen สำหรับ virus ที่พบในประเทศที่ส่งออก หรือ โดยวิธีcomplement fixation test หรือ ELISA ทดสอบในวันที่เก็บน้ำเชื้อและทดสอบซ้ำหลังจากนั้นสี่สิบวัน
- Enzootic Bovine Leukosis โดยวิธี agar gel immunodiffusion test
- Infectious Bovine Rhinotracheitis/Infectious Pustular Vulvovaginitis โดยวิธี virus neutralization test
- Leptospirosis ทดสอบโดยวิธี
- microscopic agglutination test (MAT) โดยใช้ antigen สำหรับเชื้อ Leptospira serotypes ที่มีในประเทศผู้ส่งออก หรือ
- ฉีด dihydrostreptomycin (25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัวสัตว์มีชีวิต) จำนวนสองครั้งห่างกันสิบสี่วัน
- Bovine Viral Diarrhoea/Mucosal Disease โดยวิธี viral neutralization test หรือ ELISA และเพาะเชื้อในกรณีที่ได้ผลจากการทดสอบทางซีรั่มเป็นลบ (negative)
- Johne’s disease โดยวิธี complement fixation test หรือ ELISA และหรือตรวจหาเชื้อ (agent detection)
- หมายเหตุโรคดังกล่าวในข้อ 9 อาจทำการทดสอบโดยวิธีอื่นที่กำหนดโดยสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties (OIE))
- น้ำเชื้อจะต้องเก็บจากสัตว์ตัวที่มีความปกติทางเพศ มีคุณภาพ และต้องไม่มีข้อบกพร่องทางพันธุกรรม
- หากมีการใช้สารป้องกันการเน่าเสียและยาปฏิชีวนะ รวมถึงยาที่ใช้ทำลายเชื้อที่ผสมอยู่ในตัวทำละลายจะต้องแจ้งให้ทราบ
- น้ำเชื้อจะต้องถูกเก็บ ผลิต และรักษาอย่างเข้มงวดโดยให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ OIE International Animal Health Code
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งน้ำเชื้อสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกหรือลงนามกำกับหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ที่ออกโดยสัตวแพทย์ผู้ควบคุมดูแลศูนย์ผลิตเอ็มบริโอ โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- ชื่อและที่อยู่ของฟาร์มและศูนย์ผลิตเอ็มบริโอ
- จำนวน ชนิด และพันธุ์
- หมายเลขประจำตัวพ่อแม่พันธุ์
- วันที่เก็บเอ็มบริโอ
- เครื่องหมายบนภาชนะหรือหลอดเก็บเอ็มบริโอที่ไม่สามารถลบออกได้ง่าย
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึงข้อ 7
- สัตว์พ่อแม่พันธุ์จะต้องอยู่ในประเทศผู้ส่งออกนับตั้งแต่เกิด
- ประเทศต้นทางต้องปลอดจากโรค Rinderpest โรค Contagious Bovine Pleuropneumonia และโรควัวบ้า (Bovine Spongiform Encephalopathy, BSE)
- ประเทศหรือเขตต้นทางต้องปลอดจากโรคปากเท้าเปื่อย (Foot- and- Mouth Disease, FMD) ซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties, OIE)
- ศูนย์หรือฟาร์มที่ผลิตเอ็มบริโอจะต้องปลอดจากโรค
- Foot- and- Mouth Disease อย่างน้อยสามปี
- Brucellosis, Tuberculosis และ Vesicular Stomatitis ในระหว่างปีที่ผลิตเอ็มบริโอ
- ศูนย์หรือฟาร์มที่ผลิตเอ็มบริโอ จะต้องปลอดโรค Tuberculosis, Brucellosis, Leptospirosis, Johne’s Disease, Enzootic Bovine Leukosis, Infectious Bovine Rhinotracheitis/Infectious Pustular Vulvovaginitis (IBR/IPV), Bovine Viral Diarrhoea Disease (BVD/MD), Mycoplasmosis, Vesicular Stomatitis, และปราศจากการติดเชื้อ Campylobacter fetus and Trichomonas foetus ในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนการผลิตเอ็มบริโอ
- ก่อนการผลิตเอ็มบริโอพ่อแม่พันธุ์จะต้องถูกทดสอบโรคด้วยวิธีการทดสอบโรคที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) และมีผลการทดสอบเป็นลบ (negative) ต่อโรคดังต่อไปนี้
- Bluetongue โดยวิธี agar gel immunodiffusion test หรือ ELISA
- Bovine Viral Diarrhoea/Mucosal Disease โดยวิธี virus neutralization test หรือ ELISA และเพาะเชื้อในกรณีที่ได้ผลจากการทดสอบทางซีรั่มเป็นลบ (negative)
- Brucellosis โดยใช้วิธี buffered Brucella antigen หรือวิธี complement fixation test หรือ ELISA
- Campylobacter fetus var. venerealis and Trichomonas foetus โดยวิธีเพาะเชื้อ
- Enzootic Bovine Leukosis โดยวิธี agar gel immunodiffusion test
- Infectious Bovine Rhinotracheitis และ Infectious Pustular Vulvovaginitis โดยวิธี virus neutralization test หรือ ELISA
- Leptospirosis ทดสอบโดย microscopic agglutination test (MAT) หรือฉีด dihydrostreptomycin (25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัวสัตว์มีชีวิต) จำนวนสองครั้งห่างกันสิบสี่วัน โดยครั้งที่สองฉีดก่อนการผสมยี่สิบสี่ชั่วโมง
- หมายเหตุ โรคดังกล่าวในข้อ 7 อาจทำการทดสอบโดยวิธีอื่นที่กำหนดโดยสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties (OIE))
- แม่พันธุ์จะต้องอยู่ในศูนย์ผลิตเอ็มบริโอหรือฟาร์มในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนการผลิตเอ็มบริโอ
- เอ็มบริโอจะต้องเก็บ ผลิต และรักษาภายใต้การกำกับดูแลและควบคุมด้านสุขอนามัยของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนและเงื่อนไขของ OIE International Animal Health Code และ คู่มือของสมาคมย้ายฝากเอ็มบริโอนานาชาติ (International Embryo Transfer Society, IETS)
- เอ็มบริโอจะต้องได้รับการตรวจหาตัวที่ไม่สมบูรณ์และล้าง ทดสอบ ดูแลตามคู่มือของ IETS
- เอ็มบริโอจะต้องเก็บรักษาภายใต้การควบคุมดูแลด้านสุขอนามัยอย่างเข้มงวดภายในสถานกักกันสัตว์โดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ จนกระทั่งส่งออกมายังประเทศไทย
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งเอ็มบริโอสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขศาสตร์ซากสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- ชนิดของชิ้นส่วนและบรรจุภัณฑ์ของเนื้อและผลิตภัณฑ์
- จำนวนชิ้นหรือหีบห่อและน้ำหนักสุทธิ
- ชื่อและที่อยู่ และหมายเลขทะเบียนโรงฆ่าสัตว์และโรงงานแปรรูปที่ได้รับการรับรองแล้ว
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ส่งออกและผู้รับปลายทาง
- วันที่ฆ่าสัตว์ ผลิต บรรจุ และส่งออก
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึงข้อ 9
- ประเทศต้นทางต้องปลอดจากโรค Rinderpest และ Bovine Spongiform Encephalopathy
- ประเทศหรือเขตต้นทางต้องปลอดจากโรคปากเท้าเปื่อย (Foot- and- Mouth Disease, FMD) ซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties, OIE) เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสามปีก่อนการส่งออก
- ฟาร์มหรือสถานที่เลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดจะต้องปลอดจากโรคติดต่อหรือโรคระบาดชนิดใด ๆ ที่จะต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ภายในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดของสัตว์นั้นตลอดระยะเวลาหนึ่งปีก่อนการฆ่าจนถึงเวลาส่งออก
- เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จะต้องมาจากสัตว์ที่เกิดและเลี้ยงอยู่ในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด หรืออยู่ในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่เดือนก่อนการฆ่า และจะต้องมาจากฟาร์มที่ได้มาตรฐานภายใต้การกำกับดูแลและรับรองของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกและนำเข้า
- สัตว์จะต้องได้รับการตรวจก่อนฆ่า (ante-mortem)และภายหลังจากฆ่า (post-mortem) แล้ว โดยผลการตรวจดังกล่าวจะต้องไม่พบโรคระบาดหรือโรคติดเชื้อใดๆ
- เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จะต้องผ่านขบวนการผลิตในโรงงานที่ได้รับการรับรองเพื่อการส่งออกมายังประเทศไทยภายใต้มาตรการทางด้านสุขอนามัยที่ควบคุมดูแลโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก รวมทั้งมาตรการทุกอย่างจะต้องดำเนินการเพื่อที่จะป้องกันการปนเปื้อนใด ๆ ที่อาจมีได้ในทุกขั้นตอนระหว่างการผลิต การบรรจุหีบห่อ การเก็บรักษา จนถึงการส่งออก
- เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จะต้องไม่มีสารป้องกันการเน่าเสีย สารปรุงแต่ง หรือสารอื่นใดที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์
- เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จะต้องถูกสุ่มตัวอย่างเพื่อตรวจหาเชื้อจุลินทรีย์ที่อาจมีได้ในอาหารเช่นเดียวกับยา ฮอร์โมน ยาฆ่าแมลง สารพิษ (toxin) และสารอื่นใดที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ และต้องมีปริมาณหรือระดับไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดโดยมาตรฐานแห่งชาติและหรือมาตรฐานระหว่างประเทศ เช่น Codex Alimentarius
- ยานพาหนะและตู้บรรทุกที่ใช้ในการขนส่งเนื้อเพื่อส่งออกจะต้องล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคก่อนการส่งออก
- เนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์สัตว์จะต้องมีเครื่องหมายสุขศาสตร์ หรือสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าผ่านการตรวจจากเจ้าหน้าที่ตรวจเนื้อแล้วซึ่งอาจจะเป็นในรูปของฉลาก รอยหรือตราประทับ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์สัตว์ดังกล่าวได้ผลิตตามมาตรฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับของประเทศไทย
- เนื้อและผลิตภัณฑ์จะต้องไม่มีการขนถ่ายผ่านท่าอื่นใดระหว่างการขนส่ง
- เนื้อและผลิตภัณฑ์จะต้องถูกตรวจสอบหรือกักกันเพื่อทดสอบทางห้องปฏิบัติการภายหลังการนำเข้า เจ้าของหรือผู้นำเข้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการดังกล่าวเองทั้งสิ้น
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งซากสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
ม้า/กวาง
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ (health certificate) เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- จำนวน ชนิดสัตว์
- พันธุ์ เพศ อายุ และสี
- รูปพรรณสัณฐานสัตว์
- ชื่อและที่อยู่เจ้าของหรือผู้ส่งออก และหลักฐานแสดงแหล่งกำเนิด
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 3 ถึงข้อ 12
- สมุดทะเบียนประวัติสายพันธุ์ม้าแข่ง หรือใบรับรองพันธุ์ประวัติหรือสายพันธุ์ (stud-book, silhouette หรือ pedigree certificate) กำกับมาพร้อมกับสัตว์ที่นำเข้า
- สัตว์ต้องมาจากแหล่งที่มีการควบคุมโรคสัตว์ และต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ไม่มีอาการหรือวิการของโรคติดเชื้อ หรือโรคติดต่อ หรือพยาธิภายนอกใด ๆ ในขณะที่ส่งออก และเหมาะสมสำหรับการขนส่งหรือเดินทาง
- ประเทศ หรือเขต หรือพื้นที่ที่เป็นแหล่งกำเนิดต้องปลอดจากโรค African Horse Sickness, โรค Equine Encephalomyelitis (Eastern, Western และ Venezuelan Encephalomyelitis และ Borna Disease), โรค Vesicular stomatitis, โรค Dourine และ โรค Epizootic Lymphangitis
- บริเวณหรือพื้นที่ในรัศมีหนึ่งร้อยกิโลเมตรรอบบริเวณที่เลี้ยงสัตว์ที่จะส่งออก ต้องไม่มีประวัติของการเกิดโรคแอนแทรกซ์,โรค Equine Infectious Anemia, โรค Equine Viral Arteritis, โรค Equine Viral Rhinopneumonitis, โรคพิษสุนัขบ้า, โรค Equine Influenza, โรค Equine Herpes Virus (abortion and neurological disease), โรค Trypanosomiasis (T. evansi) และ โรค
- สถานที่หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่จะส่งออกต้องไม่มีประวัติของการเกิดโรคที่กล่าวในข้อ 5 ในช่วงระยะเวลาสองปีก่อนการส่งออก
- สถานที่หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่จะส่งออก ต้องไม่มีประวัติของการเกิดโรค Glanders, โรค Strangle, โรค Equine Paratyphoid (S. abortus equi infection), โรค Equine Coital Exanthema, โรค Equine Piroplasmosis, โรค Surra, โรค Contagious Equine Metritis (CEM), โรค Epizootic Lymphangitis และ โรคเรื้อน (Mange) ในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีก่อนการส่งออก
- ภายใต้การตรวจสอบของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก สัตว์ดังกล่าวจะต้องไม่ปรากฏความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น pigeon toed และ undershot jaw เป็นต้น
- สัตว์ทุกตัวที่จะส่งออกมายังประเทศไทยจะต้องถูกกักกันเป็นเวลาสามสิบวันก่อนการส่งออก ณ สถานที่กักกันที่ได้รับการรับรองและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก
- ในช่วงระยะเวลาสามสิบวันที่ถูกกักกันก่อนส่งออก สัตว์ทุกตัวต้องผ่านการทดสอบโรคต่างๆ ด้วยวิธีการทดสอบโรคที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) และผลการทดสอบดังกล่าวต้องเป็นลบ (negative) ดังนี้
- โรค Equine Infectious Anemia โดยวิธี agar gel immunodiffusion test (Coggins’ test)
- โรค Equine Viral Arteritis โดยวิธี virus neutralization test
- โรค Contagious Equine Metritis (สำหรับพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ม้า) โดยวิธี agent identification
- โรค Glanders โดยวิธี complement fixation test
- โรค Equine Piroplasmosis โดยวิธี agent identification
- โรค Dourine โดยวิธี complement fixation test
- โรค Equine Trypanosomiasis (T. evansi) โดยวิธี agent identification
- นอกจากนี้จะต้องได้รับการรับรองดังนี้
- สัตว์ดังกล่าวจะต้องแสดงผลการทดสอบเป็นลบต่อการทดสอบโรค Glanders, โรค Equine Piroplasmosis, โรค Trypanosomiasis, โรค Equine Lymphangitis และ โรค Contagious Equine Metritis โดยต้องทำการทดสอบภายในสามสิบวันก่อนการส่งออก โดยวิธีการทดสอบโรคต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) หรือ
- โดยการรับรองแหล่งต้นทางว่าปลอดจากโรคที่กล่าวในข้อ 11 ในช่วงเวลาสามปี ก่อนการส่งออก
หมายเหตุ โรคดังกล่าวในข้อ 10 และข้อ11 อาจทำการทดสอบโดยวิธีอื่นที่กำหนดโดยสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties (OIE))
- สัตว์ต้องได้รับการถ่ายพยาธิด้วยยาถ่ายพยาธิชนิดกว้าง (broad spectrum) ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ได้ และกำจัดพยาธิภายนอกในช่วงที่จะส่งออก
- พาหนะและภาชนะที่ใช้ในการขนส่งสัตว์เพื่อการส่งออกต้องได้รับการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโดยทั่วทันทีก่อนที่จะใช้บรรทุกสัตว์ที่จะส่งออก การดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ OIE International Animal Health Code
- สถานที่ที่จัดไว้สำหรับสัตว์ในระหว่างการขนส่งต้องได้รับการออกแบบในลักษณะที่ไม่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือทรมานโดยไม่จำเป็น การดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ OIE International Animal Health Code
- ภายหลังที่ออกเดินทางจากประเทศต้นทางแล้ว เรือ เครื่องบิน หรือพาหนะใดๆ ที่ใช้บรรทุกสัตว์อาจแวะที่ท่าซึ่งผ่านการรับรองแล้วเท่านั้น ขณะที่แวะสัตว์นั้นจะต้องไม่มีการสัมผัสกับสัตว์อื่นที่มีภาวะทางสุขภาพแตกต่างกัน การนำสัตว์ลงจากพาหนะหรือการเคลื่อนย้ายสัตว์อาจกระทำได้โดยต้องอยู่ในการดูแลและรับรองโดยเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของประเทศที่แวะ
- ห้ามนำม้าหรือสัตว์อื่นที่มีภาวะทางสุขภาพแตกต่างกัน รวมทั้งอาหารสัตว์ ฟางหรือหญ้าแห้งขึ้นมาบนเรือหรือเครื่องบินภายหลังจากที่ออกจากประเทศต้นทาง
- เมื่อสัตว์มาถึงท่าเข้าของประเทศไทยจะต้องถูกกักกันภายหลังการนำเข้า ณ สถานกักกันที่ได้รับการรับรองเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน สัตว์ที่อยู่ในระหว่างการกักกันจะถูกตรวจสอบและหรือ รักษาตามที่เห็นสมควรและจำเป็น ผู้นำเข้าหรือเจ้าของเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการกักกันสัตว์
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ (healthcertificate) เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- จำนวนและชนิดสัตว์
- พันธุ์ เพศ อายุ และสีของสัตว์
- รูปพรรณสัณฐานสัตว์
- ชื่อและที่อยู่ของเจ้าของหรือผู้ส่งออก และหลักฐานแสดงแหล่งกำเนิด
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 3 ถึงข้อ 9
- มีใบรับรองพันธุ์ประวัติหรือสายพันธุ์ (Pedigree Certificate) กำกับมาพร้อมกับสัตว์ที่นำเข้าเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับใช้ทำพันธุ์
- สัตว์ต้องมาจากแหล่งที่มีการควบคุมโรคสัตว์ และต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ไม่มีอาการหรือวิการของโรคติดเชื้อ หรือโรคติดต่อ หรือพยาธิภายนอกใด ๆ ในขณะที่ส่งออก และเหมาะสมสำหรับการขนส่งหรือเดินทาง
- ประเทศต้นทางต้องปลอดจากโรครินเดอร์เปสต์, โรค Contagious Bovine Pleuropneumonia และโรค Transmissible Spongiform Encephalopathy
- ประเทศหรือเขตหรือพื้นที่ที่เป็นแหล่งกำเนิดต้องปลอดจากโรคปากและเท้าเปื่อยซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปีก่อนการส่งออก
- สัตว์ต้องมาจากฟาร์มที่ไม่มีประวัติของการเกิดโรค Clostridial Disease, Yersiniosis, Mucosal Disease, Johne’s Disease, Bluetongue, Epizootic Haemorrhagic Disease, Vesicular Stomatitis, Leptospirosis, Malignant Catarrhal Fever, Brucellosis และ Tuberculosis ในช่วงระยะเวลาสิบสองเดือนก่อนการส่งออก
- สัตว์ทุกตัวที่จะส่งออกมายังประเทศไทยจะต้องถูกกักกันเป็นเวลาสามสิบวันก่อนการส่งออก ณ สถานที่กักกันที่ได้รับการรับรองและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก
- ในช่วงระยะเวลาสามสิบวันที่ถูกกักกันก่อนส่งออกสัตว์ทุกตัวต้องผ่านการทดสอบโรคต่างๆด้วยวิธีการทดสอบโรคที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) และผลการทดสอบดังกล่าวต้องเป็นลบ (negative) ดังนี้
- วัณโรค (Tuberculosis) โดยวิธี intradermal tuberculin test โดยใช้ bovine PPD tuberculin เป็นสารทดสอบ และอ่านผลการทดสอบที่ เจ็ดสิบสองชั่วโมง
- โรคบรูเซลโลซีส (Brucellosis) โดยวิธี rose bengal plate agglutination test หรือโดยวิธี complement fixation test โดยใช้ Brucella abortus, B. ovis และ mellitensis antigens เป็นสารทดสอบ
- โรคเลปโทสไปรา (Leptospirosis) โดยวิธี
- microscopic agglutination test โดยใช้สารแอนติเจนในการทดสอบที่เป็นเชื้อ Leptospira ซีโรไทป์ต่างๆ ที่พบในประเทศผู้ส่งออก หรือ
- ฉีดยา Dihydrostreptomycin (ขนาด 25 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวสัตว์ 1 กิโลกรัม) สองครั้งห่างกันสิบสี่วัน
- โรค Johne’s Disease โดยวิธี complement fixation test หรือ ELISA และ fecal smear staining
หมายเหตุ โรคดังกล่าวในข้อ 8 อาจทำการทดสอบโดยวิธีอื่นที่กำหนดโดยสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties (OIE))
- สัตว์ต้องได้รับการถ่ายพยาธิด้วยยาถ่ายพยาธิชนิดกว้าง (broad spectrum) ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ได้ และกำจัดพยาธิภายนอกในระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนการส่งออก
- พาหนะและตู้บรรทุกที่ใช้ในการขนส่งสัตว์เพื่อการส่งออกต้องได้รับการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโดยทั่วทันทีก่อนที่จะใช้บรรทุกสัตว์ที่จะส่งออก การดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ OIE International Animal Health Code
- สถานที่ที่จัดไว้สำหรับสัตว์ในระหว่างการขนส่งต้องได้รับการออกแบบในลักษณะที่ไม่มี ความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือทรมานโดยไม่จำเป็น การดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ OIE International Animal Health Code
- ภายหลังที่ออกเดินทางจากประเทศต้นทางแล้ว เรือ เครื่องบิน หรือพาหนะใดๆ ที่ใช้บรรทุกสัตว์อาจแวะที่ท่าซึ่งผ่านการรับรองแล้วเท่านั้น ขณะที่แวะสัตว์นั้นจะต้องไม่มีการสัมผัสกับสัตว์อื่นที่มีภาวะทางสุขภาพแตกต่างกัน การนำสัตว์ลงจากพาหนะหรือการเคลื่อนย้ายสัตว์อาจกระทำได้โดยต้องอยู่ในการดูแลและรับรองโดยเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของประเทศที่แวะ
- ห้ามนำสัตว์อื่นที่มีภาวะทางสุขภาพแตกต่างกัน รวมทั้งอาหารสัตว์ ฟางหรือหญ้าแห้งขึ้นมาบนเรือหรือเครื่องบินภายหลังจากที่ออกจากประเทศต้นทาง
- เมื่อสัตว์มาถึงท่าเข้าของประเทศไทยจะต้องถูกกักกันภายหลังการนำเข้า ณ สถานกักกันที่ได้รับการรับรองเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน สัตว์ที่อยู่ในระหว่างการกักกันสัตว์จะถูกตรวจสอบและหรือ รักษาตามที่เห็นสมควรและจำเป็น ผู้นำเข้าหรือเจ้าของเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการกักกันสัตว์
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- ชนิดของชิ้นส่วนและบรรจุภัณฑ์ของเนื้อกวาง
- จำนวนชิ้นหรือหีบห่อและน้ำหนักสุทธิ
- ชื่อและที่อยู่ และหมายเลขทะเบียนโรงฆ่าสัตว์และโรงงานแปรรูปที่ได้รับการรับรองแล้ว
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ส่งออกและผู้รับปลายทาง
- วันที่ฆ่าสัตว์ ผลิต บรรจุ และส่งออก
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึงข้อ 8
- ประเทศต้นทางต้องปลอดจากโรค Rinderpest และ Contagious Bovine Pleuropneumonia
- ประเทศหรือเขตต้นทางต้องปลอดจากโรคปากและเท้าเปื่อย (Foot- and- Mouth Disease, FMD) ซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties, OIE) เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสามปีก่อนการส่งออก
- กวางที่นำมาฆ่าจะต้องมาจากแหล่งที่ปลอดโรค มีสุขภาพดี ไม่มีอาการหรือวิการของโรคระบาดและโรคติดเชื้อใดๆ ตลอดจนโรคพยาธิภายนอก
- กวางที่นำมาฆ่าจะต้องนำมาจากฟาร์มที่ไม่มีโรค Clostridial disease, Yersiniosis, Mucosal Disease, Johne’s Disease, Bluetongue, Vesicular Stomatitis, Leptospirosis, Malignant Catarrhal Fever, Brucellosis และ Tuberculosis เกิดขึ้นในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนการฆ่า
- เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จะต้องผ่านขบวนการผลิตภายในโรงงานที่ได้รับการรับรองเพื่อการส่งออกมายังประเทศไทยภายใต้มาตรการทางด้านสุขอนามัยที่ควบคุมดูแลโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก รวมทั้งมาตรการทุกอย่างจะต้องดำเนินการเพื่อที่จะป้องกันการปนเปื้อนใด ๆ ที่อาจมีได้ในทุกขั้นตอนระหว่างการผลิต การบรรจุหีบห่อ การเก็บรักษา จนถึงการส่งออก
- เนื้อกวางจะต้องไม่มีสารป้องกันการเน่าเสีย สารปรุงแต่ง หรือสารอื่นใดที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์
- เนื้อกวางจะต้องถูกสุ่มตัวอย่างเพื่อตรวจหาเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารเช่นเดียวกับยา และยาฆ่าแมลงซึ่งจะต้องมีปริมาณหรือระดับไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดโดยมาตรฐาน Codex Alimentarius และมีความเหมาะสมสำหรับใช้บริโภค
- ยานพาหนะและตู้บรรทุกที่ใช้ในการขนส่งเนื้อเพื่อการส่งออกจะต้องล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคก่อนการส่งออก
- เนื้อกวางจะต้องมีเครื่องหมายสุขศาสตร์ หรือสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าผ่านการตรวจจากเจ้าหน้าที่ตรวจเนื้อแล้วซึ่งอาจจะเป็นในรูปของฉลาก รอยหรือตราประทับ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเนื้อกวางดังกล่าวได้ผลิตตามมาตรฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับของประเทศไทย
- เนื้อกวางจะต้องไม่มีการขนถ่ายผ่านท่าอื่นใดระหว่างการขนส่ง
- เนื้อกวางจะต้องถูกตรวจสอบหรือกักกันเพื่อทดสอบทางห้องปฏิบัติการภายหลังการนำเข้า เจ้าของหรือผู้นำเข้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการดังกล่าวเองทั้งสิ้น
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งซากสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
นก / สัตว์ปีกอื่น ๆ
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ (healthcertificate) เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- จำนวน ชนิด พันธุ์ เพศ และอายุของสัตว์
- สถานที่เป็นแหล่งกำเนิดของสัตว์
- ลักษณะพิเศษ หรือสี
- ชื่อและที่อยู่ของเจ้าของหรือผู้ส่งออกและผู้นำเข้า (ผู้รับ)
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึงข้อ 7
- ประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดจะต้องปลอดจากโรค Avian Influenza (Fowl Plaque)
- นกจะต้องอยู่ในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหกสัปดาห์ตั้งแต่เกิดหรือฟัก
- นกจะต้องถูกแยกหรือกักกันภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกเป็นระยะเวลายี่สิบเอ็ดวันก่อนการขนส่ง
- นกจะต้องไม่มีการทำวัคซีนป้องกันโรค Newcastle Disease หรือโรคชนิดใด ๆ มาก่อน
- ในกรณีสัตว์ปีกจำพวกเป็ด , ไก่ , ไก่ฟ้า , ไก่งวง , ไก่ต๊อก , นกกระทา , นกคุ้ม นกทุกตัวจะต้องถูกเก็บตัวอย่างไม่เกินสิบวัน ในระยะเวลาที่กำหนดหรือระยะเวลาที่กักกันและถูกนำไปตรวจเพื่อหา Salmonella pullorum, Salmonella gallinarum และ Salmonella typhimuriumซึ่งผลการทดสอบจะต้องเป็นลบ (negative) โดยใช้วิธีที่เป็นมาตรฐานตามข้อกำหนดของ OIE
- สถานที่หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดจะต้องไม่มีประวัติการเกิดโรค Newcastle Disease, Fowl Cholera, Duck Virus Enteritis, Duck Virus Hepatitis, Marek’s Disease, Avian Infectious Laryngotracheitis, Mycoplasma gallisepticum, Salmonellosis i.e. Salmonella enteritidis, Salmonella typhimurium, Salmonella pullorum (Pullorum Disease), Salmonella gallinarum (Fowl Typhoid), Psittacosis/Ornithosis, Infectious Bursal Disease, Avian Infectious Bronchitis, Avian Tuberculosis รวมทั้งโรคพยาธิในช่วงระยะเวลาเก้าสิบวันก่อนการส่งออก
- กล่องหรือภาชนะบรรจุนกสำหรับส่งออกมายังประเทศไทยจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดใน International Air Transport Association (IATA) โดยเฉพาะข้อกำหนดเกี่ยวกับความสูง คอนสำหรับให้นกเกาะ การระบายอากาศ และมีน้ำและอาหารเพียงพอ
- เมื่อสัตว์มาถึงท่าเข้าของประเทศไทยจะต้องถูกกักกันภายหลังการนำเข้า ณ สถานกักกันที่ได้รับการรับรองเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน สัตว์ที่อยู่ในระหว่างการกักกันสัตว์จะถูกตรวจสอบและหรือ รักษาตามที่เห็นสมควรและจำเป็น ผู้นำเข้าหรือเจ้าของเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการกักกันสัตว์
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- ชนิด จำนวน เพศ และอายุของสัตว์
- แหล่งกำเนิดของสัตว์
- เครื่องหมาย (รูปพรรณสัณฐานของสัตว์)
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตที่เป็นแหล่งกำเนิด ชื่อและที่อยู่ของผู้ส่งออกและผู้รับปลายทาง
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึงข้อ 7
- มีใบรับรองพันธุ์ประวัติหรือสายพันธุ์ (Pedigree Certificate) กำกับมาพร้อมกับสัตว์ที่นำเข้าเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับใช้ทำพันธุ์
- สัตว์ต้องมาจากแหล่งที่มีการควบคุมโรคสัตว์ และต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ไม่มีอาการหรือวิการของโรคติดเชื้อ หรือโรคติดต่อ หรือพยาธิภายนอกใด ๆ ในขณะที่ส่งออก และเหมาะสมสำหรับการขนส่งหรือเดินทาง
- สัตว์จะต้องมาจากฟาร์มที่ไม่มีประวัติของการเกิดโรคดังต่อไปนี้ Avian Encephalitis (Arbovirus Infection), Avian Influenza, Newcastle Disease, Infectious Bursal Disease, Fowl Pox (Avian Poxvirus Infection), Borna Disease Virus, Viral Enteritis, Adenovirus Infection, Zygomycosis, Aspergillosis, Salmonellosis, Mycoplasmosis, Tuberculosis, Erysipelas, Colibacillosis, Pasteurellosis, Clostridial Enteritis, Infectious Coryza (Haemophilus spp.), Chlamydiosis และ Anthrax ในช่วงระยะเวลาสิบสองเดือนก่อนการส่งออก
- สัตว์ทุกตัวที่จะส่งออกมายังประเทศไทยจะต้องถูกกักกันเป็นเวลาสามสิบวันก่อนการส่งออก ณ สถานที่กักกันที่ได้รับการรับรองและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก
- ในช่วงระยะเวลาสามสิบวันที่ถูกกักกันก่อนส่งออก สัตว์ทุกตัวต้องผ่านการทดสอบโรคต่างๆ ด้วยวิธีการทดสอบโรคที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) และผลการทดสอบดังกล่าวต้องเป็นลบ (negative) ดังนี้
- Newcastle Disease โดยวิธี haemagglutination inhibition (HI) test
- Avian Influenza (type A)โดยวิธี agar gel immunodiffusion (AGID) test
- Avian Influenza (subtypes H5 และ H7) โดยวิธี haemagglutination inhibition (HI) test
- Tuberculosis โดยวิธี intradermal tuberculin test โดยใช้ avian tuberculin
- Salmonellosis โดยวิธี serological test และวิธีการเพาะเชื้อ (Bacterial culture)
หมายเหตุ โรคดังกล่าวในข้อ 6 อาจทำการทดสอบโดยวิธีอื่นที่กำหนดโดยสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (The Office International des Epizooties (OIE))
- สัตว์ต้องได้รับการถ่ายพยาธิด้วยยาถ่ายพยาธิชนิดกว้าง (broad spectrum) ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ได้ และกำจัดพยาธิภายนอกในระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนการส่งออก
- ยานพาหนะและกรงที่ใช้ในการขนส่งสัตว์ที่ส่งออกจะต้องได้รับการทำความสะอาดโดยทั่วกัน รวมทั้งมีการกำจัดเชื้อโรคและมีที่เพียงพอสำหรับการบรรทุก (loading)
- สถานที่ที่จัดไว้สำหรับสัตว์ในระหว่างการขนส่งต้องได้รับการออกแบบในลักษณะที่ไม่มี ความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือทรมานโดยไม่จำเป็น
- ภายหลังที่ออกเดินทางจากประเทศต้นทางแล้ว เรือ เครื่องบิน หรือพาหนะใดๆ ที่ใช้บรรทุกสัตว์อาจแวะที่ท่าซึ่งผ่านการรับรองแล้วเท่านั้น ขณะที่แวะสัตว์นั้นจะต้องไม่มีการสัมผัสกับสัตว์อื่นที่มีภาวะทางสุขภาพแตกต่างกัน การนำสัตว์ลงจากพาหนะหรือการเคลื่อนย้ายสัตว์อาจกระทำได้โดยต้องอยู่ในการดูแลและรับรองโดยเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของประเทศที่แวะ
- ห้ามนำสัตว์อื่นที่มีภาวะทางสุขภาพแตกต่างกัน รวมทั้งอาหารสัตว์ ฟางหรือหญ้าแห้งขึ้นมาบนเรือหรือเครื่องบินภายหลังจากที่ออกจากประเทศต้นทาง
- เมื่อสัตว์มาถึงท่าเข้าของประเทศไทยจะต้องถูกกักกันภายหลังการนำเข้า ณ สถานกักกันที่ได้รับการรับรองเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน สัตว์ที่อยู่ในระหว่างการกักกันสัตว์จะถูกตรวจสอบและหรือ รักษาตามที่เห็นสมควรและจำเป็น ผู้นำเข้าหรือเจ้าของเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการกักกันสัตว์
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- ชนิดของหีบห่อและภาชนะบรรจุของเนื้อ
- จำนวนชิ้น หรือหีบห่อและน้ำหนักสุทธิ
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตที่ขึ้นทะเบียนของแหล่งกำเนิด
- ชื่อที่อยู่ของผู้ส่งออกและผู้รับ
- วันที่เข้าโรงฆ่า วันที่ผลิต บรรจุและส่งออก
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึงข้อ 7
- ฟาร์มหรือคอกเลี้ยงสัตว์ที่เป็นแหล่งกำเนิดจะต้องปลอดจากโรค Newcastle Disease, Avian Influenza, Tuberculosis, Anthrax, Cremean Congo Haemorrhagic Fever, Aspergillosis, Equine Encephalitis, Colibacillosis, และ Salmonellosis เช่น Salmonella enteritidis หรือ Salmonella typhimurium ในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนการส่งเข้าโรงฆ่า และจนถึงการส่งออก
- เนื้อนกกระจอกเทศหรือเนื้อนกอีมูจะต้องมาจากนกกระจอกเทศหรือนกอีมูที่เกิดและเลี้ยงอยู่ในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด หรืออยู่ในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสิบสี่เดือนก่อนการฆ่า และจะต้องมาจากฟาร์มที่ได้มาตรฐานภายใต้การกำกับดูแลและรับรองของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกและนำเข้า
- นกกระจอกเทศหรือนกอีมูจะต้องได้รับการตรวจก่อนฆ่า (ante-mortem)และภายหลังจากฆ่า (post-mortem) แล้ว โดยผลการตรวจดังกล่าวจะต้องไม่พบโรคระบาดหรือโรคติดเชื้อใดๆ
- เนื้อนกกระจอกเทศหรือเนื้อนกอีมูจะต้องผ่านขบวนการผลิตในโรงงานที่ได้รับการรับรองเพื่อการส่งออกมายังประเทศไทยภายใต้มาตรการทางด้านสุขอนามัยที่ควบคุมดูแลโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก รวมทั้งมาตรการทุกอย่างจะต้องดำเนินการเพื่อที่จะป้องกันการปนเปื้อนใด ๆ ที่อาจมีได้ในทุกขั้นตอนระหว่างการผลิต การบรรจุหีบห่อ การเก็บรักษา จนถึงการส่งออก
- เนื้อนกกระจอกเทศหรือเนื้อนกอีมูต้องไม่มีสารป้องกันการเน่าเสีย(preservatives),สารปรุงแต่ง (additives) หรือสารใด ๆ ที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์
- เนื้อนกกระจอกเทศหรือเนื้อนกอีมูจะต้องได้รับการสุ่มตรวจหาเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารเช่นเดียวกับยาและยาฆ่าแมลงที่อาจตกค้าง และจะต้องมีปริมาณหรือระดับที่ไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดโดยค่ามาตรฐานแห่งชาติและหรือมาตรฐานระหว่างประเทศ เช่น Codex Alimentarius
- เนื้อนกกระจอกเทศหรือเนื้อนกอีมูจะต้องมีเครื่องหมายสุขศาสตร์ หรือสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าผ่านการตรวจจากเจ้าหน้าที่ตรวจเนื้อแล้วซึ่งอาจจะเป็นในรูปของฉลาก รอยหรือตราประทับ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเนื้อสัตว์สัตว์ดังกล่าวได้ผลิตตามมาตรฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับของประเทศไทย
- เนื้อนกกระจอกเทศหรือเนื้อนกอีมูจะต้องไม่มีการขนถ่ายผ่านท่าอื่นใดระหว่างการขนส่ง
- เนื้อนกกระจอกเทศหรือเนื้อนกอีมูจะต้องถูกตรวจสอบหรือกักกันเพื่อทดสอบทางห้องปฏิบัติการภายหลังการนำเข้า เจ้าของหรือผู้นำเข้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการดังกล่าวเองทั้งสิ้น
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งซากสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขศาสตร์ซากสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- ชนิดของหีบห่อหรือกล่องบรรจุ
- จำนวนชิ้นหรือกล่อง และน้ำหนักสุทธิ
- ชื่อและที่อยู่ และหมายเลขทะเบียนโรงฆ่าสัตว์ปีกที่ได้รับการรับรองแล้ว และสถานที่ผลิต
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ส่งออกและผู้รับปลายทาง
- วันที่ทำการฆ่า ผลิต บรรจุ และส่งออก
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึง ข้อ 8
- ประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดต้องปลอดจากโรคAvianInfluenza และNewcastleDiseaseเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสามปีก่อนการส่งออกในกรณีของเนื้อเป็ดและผลิตภัณฑ์จะต้องผลิตจากเป็ดที่มาจากฟาร์มที่ปลอดจากโรค Duck Virus Hepatitis และ Duck Virus Enteritis เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
- ฟาร์มหรือสถานที่เลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดจะต้องปลอดจากโรคติดต่อหรือโรคระบาดชนิดใดๆที่จะต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ภายในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดของสัตว์นั้นตลอดระยะเวลาหนึ่งปีก่อนการฆ่าจนถึงเวลาส่งออก
- เนื้อสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์จะต้องมาจากสัตว์ที่เกิดและเลี้ยงอยู่ในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด หรืออยู่ในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนการฆ่า และจะต้องมาจากฟาร์มที่ได้มาตรฐานภายใต้การกำกับดูแลและรับรองของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกและนำเข้า
- เนื้อสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์ต้องมาจากสัตว์ที่ได้มีการตรวจก่อน (ante-mortem) และหลังการฆ่า (post-mortem) แล้วพบว่าปราศจากโรคระบาดหรือโรคติดต่อใด ๆ
- เนื้อสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์จะต้องผ่านขบวนการผลิตในโรงงานที่ได้รับการรับรองเพื่อการส่งออกมายังประเทศไทยภายใต้มาตรการทางด้านสุขอนามัยที่ควบคุมดูแลโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก รวมทั้งมาตรการทุกอย่างจะต้องดำเนินการเพื่อที่จะป้องกันการปนเปื้อนใด ๆ ที่อาจจะมีได้ในทุกขั้นตอนระหว่างการผลิต การบรรจุหีบห่อ การเก็บ จนถึงการส่งออก
- เนื้อสัตว์ปีกจะต้องไม่มีสารป้องกันการเน่าเสีย (preservative) สารปรุงแต่ง (additives) หรือสารอื่นใดที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์
- เนื้อสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์จะต้องถูกสุ่มตรวจเพื่อทดสอบหาเชื้อจุลินทรีย์ในอาหาร เช่นเดียวกับการตรวจหาสารตกค้างประเภทยา ฮอร์โมน ยาฆ่าแมลง สารพิษ (toxin) และสารอื่น ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ และค่าต่าง ๆ ที่ทดสอบได้นั้นจะต้องมีปริมาณหรือระดับที่ไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดโดยค่ามาตรฐานแห่งชาติ และหรือมาตรฐานนานาชาติ
- ยานพาหนะและตู้บรรทุกที่ใช้ในการขนส่งเนื้อเพื่อการส่งออกจะต้องล้างทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคก่อนการส่งออก
- เนื้อสัตว์ปีกหรือผลิตภัณฑ์จะต้องมีเครื่องหมายสุขศาสตร์ หรือสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าผ่านการตรวจจากเจ้าหน้าที่ตรวจเนื้อแล้วซึ่งอาจจะเป็นในรูปของฉลาก รอยหรือตราประทับ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเนื้อสัตว์ปีกหรือผลิตภัณฑ์สัตว์ดังกล่าวได้ผลิตตามมาตรฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับของประเทศไทย
- เนื้อสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์จะต้องไม่มีการขนถ่ายผ่านท่าอื่นใดระหว่างการขนส่ง
- เนื้อสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์จะต้องถูกตรวจสอบหรือกักกันเพื่อทดสอบทางห้องปฏิบัติการภายหลังการนำเข้า เจ้าของหรือผู้นำเข้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการดังกล่าวเองทั้งสิ้น
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งซากสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขศาสตร์ซากสัตว์เป็นกาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- ชนิดของหีบห่อหรือภาชนะบรรจุหนังนกกระจอกเทศ
- จำนวนชิ้นหรือหีบห่อ และน้ำหนักสุทธิ
- ชื่อและที่อยู่ของสถานที่ผลิตที่ได้ขึ้นทะเบียน และหรือฟาร์มที่เป็นแหล่งกำเนิด
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ส่งออกและผู้รับ
- วันที่เข้าโรงฆ่า วันที่ผลิต บรรจุและส่งออก
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึง ข้อ 8
- ฟาร์มหรือสถานที่เลี้ยงสัตว์ที่เป็นแหล่งกำเนิดจะต้องปลอดจากโรค Newcastle Disease, Avian Influenza, Tuberculosis, Anthrax, Crimean Congo Haemorrhagic Fever, Aspergillosis, Equine Encephalitis, Colibacillosis, และ Salmonellosis เช่น Salmonella enteritidis หรือ Salmonella typhimuriumในระยะหนึ่งปี ก่อนนำสัตว์เข้าโรงฆ่าจนถึงวันที่ส่งออก
- นกกระจอกเทศจะต้องเกิดและเลี้ยงอยู่ในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด หรืออยู่ในประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสิบสี่เดือน ก่อนส่งเข้าโรงฆ่าและต้องมาจากฟาร์มที่ได้มาตรฐานซึ่งสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกและนำเข้าได้ให้การรับรองแล้ว
- นกกระจอกเทศจะต้องได้รับการตรวจก่อนฆ่า (ante-mortem)และภายหลังจากฆ่า (post-mortem) แล้ว โดยผลการตรวจดังกล่าวจะต้องไม่พบโรคระบาดหรือโรคติดเชื้อใดๆ
- หนังนกกระจอกเทศจะต้องผ่านขบวนการผลิตในโรงงานได้รับการรับรองเพื่อการส่งออกมายังประเทศไทยภายใต้มาตรการทางด้านสุขอนามัยที่ควบคุมดูแลโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก
- หนังนกกระจอกเทศจะต้องอยู่ในสภาพที่ถูกสุขลักษณะ และต้องมีขบวนการป้องกันทุก ๆ สิ่งที่อาจมีการปนเปื้อนใด ๆ ระหว่างขั้นตอนการผลิต การบรรจุ จนถึงขบวนการส่งออก นอกจากนี้จะต้องทำการฆ่าเชื้อโรคและแมลงที่ผลิตภัณฑ์ก่อนการส่งออก การดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ OIE International Animal Health Code
- หนังนกกระจอกเทศจะต้องไม่มีการขนถ่ายผ่านท่าอื่นใดระหว่างการขนส่ง
- หนังนกกระจอกเทศจะต้องถูกตรวจสอบหรือกักกันเพื่อทดสอบทางห้องปฏิบัติการภายหลังการนำเข้า เจ้าของหรือผู้นำเข้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการดังกล่าวเองทั้งสิ้น
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งซากสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- จำนวน พันธุ์ สายพันธุ์ และเครื่องหมายที่ภาชนะบรรจุไข่ฟักหรือลูกสัตว์ปีก
- เพศของลูกสัตว์ปีก
- รุ่นสายพันธุ์และวัตถุประสงค์ที่นำเข้า (เพื่อการค้าหรือนำมาใช้ปรับปรุงพันธุ์)
- ชื่อและที่อยู่ของสถานที่ต้นทางหรือโรงฟัก
- ชื่อและที่อยู่ของเจ้าของหรือผู้ส่งออกและผู้รับปลายทาง
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 3 ถึง ข้อ 9
- มีใบรับรองพันธุ์ประวัติหรือสายพันธุ์ (Pedigree Certificate) กำกับมาพร้อมกับสัตว์ที่นำเข้าเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับใช้ทำพันธุ์
- ประเทศต้นทางต้องปลอดจากโรค Avian Influenza (Fowl Plague)
- ประเทศ เขตหรือพื้นที่ต้นทางต้องปลอดจากโรค Newcastle Disease, Parvovirus Infection, Avian Encephalitis, Duck Plague, Salmonellosis (Salmonella typhimurium และ enteritidis)
- ไข่ฟักและลูกสัตว์ปีกต้องมีกำเนิดมาจากโรงเรือนที่มีการควบคุมโรคสัตว์ปีกเป็นอย่างดี ลูกสัตว์ปีกจะต้องมีสุขภาพดี เหมาะสมต่อการขนส่งหรือเดินทาง และปลอดจากโรคติดเชื้อใด ๆ รวมทั้งพยาธิภายนอกในช่วงเวลาที่ส่งออก
- ไข่ฟักและลูกสัตว์ปีกต้องมาจากฝูงสัตว์ที่ได้รับการรับรองว่าปลอดโรคอุจจาระขาว (pullorum-free flock)
- ฝูงสัตว์ปีกที่ปลอดจากโรคอุจจาระขาว (pullorum-free flock) อย่างเป็นทางการหมายความว่าสัตว์ปีกทุกตัวในฟาร์มนั้นที่มีอายุมากกว่าสี่เดือน ต้องให้ผลทดสอบเป็นลบ (negative) ทุกครั้งต่อการตรวจเลือดสองครั้งในระยะห่างกันยี่สิบเอ็ดวัน การสุ่มตัวอย่างตรวจควรจะดำเนินการเพื่อที่จะมั่นใจว่าฟาร์มได้ปลอดจากโรคนี้ การตรวจแยกเชื้อ Salmonella pullorum ควรใช้วิธีที่ยอมรับหรือวิธีที่แนะนำโดย OIE International Animal Health Code
- ระยะหกเดือนก่อนการส่งออกสถานที่เลี้ยงสัตว์หรือโรงเรือนต้นทางสัตว์จะต้องไม่มีประวัติของการเกิดโรค หรือแสดงอาการหรือวิการของโรคดังต่อไปนี้คือ โรคNewcastle Disease, Infectious Bursal Disease (Gumboro), Infectious Bronchitis, Avian Encephalomyelitis, Egg Drop Syndrome’76, Mycoplamosis (การติดเชื้อจาก Mycoplasma gallisepticum และ Mycoplasma synoviae), Marek’s disease, Parvovirus Infections, Viral Arthritis, Infectious Anemia, Fowl Cholera, Salmonellosis และ Pullorum Disease นอกจากนี้สำหรับเป็ดจะต้องปลอดจากโรคดังนี้คือ Duck virus Hepatitis, Duck Virus Enteritis, Parvovirus Infection, Anatipestifer Infection (New Duck Syndrome) และ Ornithosis ซึ่งไข่ฟักหรือสัตว์ปีกจะต้องไม่สัมผัสกับโรคเหล่านี้
- ไข่ฟักหรือลูกสัตว์ปีกต้องมาจากโรงฟักที่มีการจัดการ ขั้นตอนเกี่ยวกับความปลอดภัยด้านสุขอนามัยและโรคสัตว์ที่ได้รับการรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออกซึ่งเป็นไปตาม ข้อกำหนดของ OIE International Animal Health Code
- ตู้ฟักไข่ต้องทำการทำลายเชื้อโรคและรมยาฆ่าเชื้อก่อนนำไข่เข้าฟัก และไข่ฟักที่จะนำเข้าตู้ฟักไข่ดังกล่าวได้จะต้องเป็นไข่ฟักที่มาจากฟาร์มที่ปลอดจากโรคอุจจาระขาว (pullorum-free flock) เท่านั้น
- ลูกสัตว์ปีกที่จะส่งออกมายังประเทศไทยจะต้องมาจากฝูงพ่อแม่พันธุ์ที่อยู่ที่ประเทศต้นทางอย่างต่อเนื่อง และฟักในโรงเรือนที่ได้รับการรับรองเพื่อการส่งออกมายังประเทศไทย
- ไข่ฟักหรือลูกสัตว์ปีกที่ฟักได้จากตู้ฟักจะต้องนำมาบรรจุโดยการใส่ในกล่องหรือภาชนะที่ยังไม่ได้ใช้และไม่ได้สัมผัสกับไข่ สัตว์ปีกหรือนกที่มีสถานะของสุขภาพสัตว์ต่างกัน
- เมื่อสัตว์มาถึงท่าเข้าของประเทศไทยจะต้องถูกกักกันภายหลังการนำเข้า ณ สถานกักกันที่ได้รับการรับรองเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน สัตว์ที่อยู่ในระหว่างการกักกันสัตว์จะถูกตรวจสอบและหรือ รักษาตามที่เห็นสมควรและจำเป็น ผู้นำเข้าหรือเจ้าของเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการกักกันสัตว์
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
สัตว์ที่ไม่ใช้บริโภค
- จะต้องมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์เป็นภาษาอังกฤษที่ลงนามรับรองโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลประเทศผู้ส่งออก โดยมีรายละเอียดการรับรองดังนี้
- ชนิด และหีบห่อบรรจุผลิตภัณฑ์สัตว์
- จำนวนของหีบห่อและน้ำหนักสุทธิ
- ชื่อและที่อยู่ของโรงฆ่าสัตว์ที่ขึ้นทะเบียนรับรอง และสถานที่ที่เป็นโรงงานผลิต
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ส่งออกและผู้รับ
- การรับรองตามเงื่อนไขตั้งแต่ข้อ 2 ถึงข้อ 6
- ประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดจะต้องปลอดจากโรค Rinderpest, African Swine Fever และ Transmissible Spongiform Encephalopathy (TSE) และ Avian Influenza
- ประเทศ เขต หรือพื้นที่แหล่งกำเนิดจะต้องปลอดจากโรคปากและเท้าเปื่อย และได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสำนักงานโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสามปีก่อนการส่งออก
- ผลิตภัณฑ์สัตว์ต้องได้จากสัตว์ที่มาจากแหล่งพื้นที่ที่ไม่มีโรคระบาดซึ่งภาวะโรคสัตว์ในพื้นที่อยู่ในการควบคุม
- ผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้ที่มีการนำไปใช้ทำอาหารสัตว์หรือใช้ในเชิงอุตสาหกรรมจะต้องผ่านขบวนการในโรงงานหรือสถานที่ผลิตที่ได้รับการรับรองแล้วภายใต้การควบคุมดูแลของสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ ขั้นตอนของขบวนการดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับ OIE International Animal Health Code เกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิและการฆ่าเชื้อที่เพียงพอที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค และแมลงที่เป็นพาหะของโรคได้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้แก่
- ผลิตภัณฑ์ที่ป่นหรือเป็นผง (meal and flour) ซึ่งได้จากเลือด ตับ เนื้อ defeated bones กีบ และเล็บสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่นซึ่งมาจากซากสัตว์ดังกล่าว
- ขนสัตว์ (wool hair และbristles) หนังสัตว์ (raw hides และ skin) หนังหรือเขาสัตว์ที่ล่าได้ (trophies)
- ไขมัน และไขมันสกัด (fat and tallow)
- ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะต้องมีสภาพที่ถูกสุขอนามัยและจะต้องมีขบวนการป้องกันการปนเปื้อนที่ดี ก่อนการส่งผลิตภัณฑ์สัตว์ออกจะต้องมีการฆ่าเชื้อโรคและแมลงต่าง ๆ การดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ I.E International Animal Health Code.
- ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะต้องไม่มีการขนถ่ายผ่านท่าอื่นใดระหว่างการขนส่ง
- ผลิตภัณฑ์จะต้องถูกตรวจสอบหรือกักกันเพื่อทดสอบทางห้องปฏิบัติการภายหลังการนำเข้า เจ้าของหรือผู้นำเข้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการดังกล่าวเองทั้งสิ้น
- การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการนำเข้าอาจส่งผลให้ต้องดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางหรือทำลายซึ่งซากสัตว์ดังกล่าวโดยไม่มีค่าชดใช้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
- ส่วนควบคุมการเคลื่อนย้ายและกักกัน สำนักควบคุมป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ พญาไท กรุงเทพ 10400
- โทร. 0-2653-4444 ต่อ 4174 , 4175 , 4177-4179