ข้อมูลโครงการ
ที่มาของการดำเนินโครงการฯ คือ โครงการฯ นี้จะเป็นการใส่เงินในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง และกระจายไปยังทุกพื้นที่ให้หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจให้ถึงฐานราก เกิดการจับจ่ายใช้สอย ยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน และภาคธุรกิจ ที่จะขยายการลงทุน ขยายกิจการ เกิดการผลิตสินค้าที่มากขึ้น นำไปสู่การจ้างงาน สร้างอาชีพ และเกิดการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลก็จะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบของภาษี อันจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ เป็นการเตรียมความพร้อมของประเทศให้เข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความโปร่งใสให้กับกลไกการชำระเงินของระบบเศรษฐกิจและรัฐบาล
วัตถุประสงค์หลักในการดำเนินโครงการฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ เช่น กลุ่มเปราะบาง เกษตรกร เป็นต้น ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าว และชุมชนมีความเข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจ สามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งสร้างและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งเสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน และการวางรากฐานโครงสร้างรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนทำธุรกรรมกับภาครัฐผ่านช่องทางดิจิทัลในอนาคต
โครงการฯ ไม่ได้มีการแจกเงินสดหรือเงินดิจิตอลให้แก่ประชาชน แต่เป็นการให้สิทธิในการใช้จ่ายแก่ประชาชนที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด โดยใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กที่รวมถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก โดยไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่งสินค้าขนาดใหญ่ระดับประเทศและระดับท้องถิ่น และร้านค้าไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันที หลังประชาชนใช้จ่าย แต่ร้านค้าจะสามารถถอนเงินสดได้เมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่ในรอบที่ 2 เป็นต้นไป และร้านค้าที่จะสามารถถอนเงินสดได้เฉพาะร้านค้าที่มีคุณสมบัติตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ
โครงการฯ ไม่ได้มีการแจกเงินสดหรือเงินดิจิตอลให้แก่ประชาชน แต่เป็นการให้สิทธิในการใช้จ่ายแก่ประชาชนที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด โดยใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กที่รวมถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก
โดยไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่งสินค้าขนาดใหญ่ระดับประเทศและระดับท้องถิ่น และร้านค้าไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันที หลังประชาชนใช้จ่าย แต่ร้านค้าจะสามารถถอนเงินสดได้เมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่ในรอบที่ 2 เป็นต้นไป และร้านค้าที่จะสามารถถอนเงินสดได้เฉพาะร้านค้าที่มีคุณสมบัติตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ
การดำเนินโครงการฯ ใช้แหล่งเงินงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และ 2568
การดำเนินโครงการฯ ใช้แหล่งเงินงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และ 2568
ครงการฯ นี้จะเป็นการใส่เงินในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง และกระจายไปยังทุกพื้นที่
ให้หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจให้ถึงฐานราก เกิดการจับจ่ายใช้สอย ยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน และภาคธุรกิจ ที่จะขยายการลงทุน ขยายกิจการ เกิดการผลิตสินค้าที่มากขึ้น นำไปสู่การจ้างงาน สร้างอาชีพ และเกิดการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลก็จะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบของภาษี อันจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ เป็นการเตรียมความพร้อมของประเทศให้เข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความโปร่งใสให้กับกลไกการชำระเงินของระบบเศรษฐกิจและรัฐบาล
โครงการฯ นี้จะเป็นการใส่เงินในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง และกระจายไปยังทุกพื้นที่
ให้หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจให้ถึงฐานราก เกิดการจับจ่ายใช้สอย ยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน และภาคธุรกิจ ที่จะขยายการลงทุน ขยายกิจการ เกิดการผลิตสินค้าที่มากขึ้น นำไปสู่การจ้างงาน สร้างอาชีพ และเกิดการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลก็จะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบของภาษี อันจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ เป็นการเตรียมความพร้อมของประเทศให้เข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความโปร่งใสให้กับกลไกการชำระเงินของระบบเศรษฐกิจและรัฐบาล
ในการพิสูจน์ตัวบุคคล (Identity Proofing) แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” จำเป็นต้องใช้ข้อมูลต่างๆ ดังนี้
- ภาพหน้า และหลังบัตรประจำตัวประชาชนของผู้สมัครใช้บริการ
- คลิปวิดีโอแบบสดของผู้สมัครใช้บริการ (Live Selfie) ที่มีการเคลื่อนไหว
และเพื่อให้เข้าถึงข้อมูลต่างๆ ขั้นต้นได้ แอปพลิเคชันจำเป็นที่จะต้องขอสิทธิในการเข้าถึงกล้องหน้า และกล้องหลังของเครื่องโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้งาน
การพิสูจน์ตัวบุคคลของผู้สมัครใช้งาน มีขั้นตอนดังนี้
- ตรวจสอบภาพหน้า และหลังบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อพิจารณาว่า เป็นภาพบัตรประจำตัวประชาชนจริงหรือไม่
- ตรวจสอบข้อมูลจากหน้า และหลังบัตรประจำตัวประชาชน เช่น เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด เลขรหัสหลังบัตร ว่าสอดคล้องกับข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยหรือไม่
- ตรวจสอบว่า บัตรประจำตัวประชาชนที่แสดงต่อแอปพลิเคชัน เป็นบัตรประจำตัวประชาชนที่ยังใช้งานอยู่ ไม่ได้ถูกยกเลิก หรือแจ้งสูญหาย
- ตรวจสอบคลิปวิดีโอแบบสดของผู้สมัครใช้บริการ เพื่อพิจารณาว่ามีการบันทึกแบบสด ไม่ได้เป็นภาพนิ่ง หรือเป็นคลิปที่อัดไว้แล้วนำมาฉายซ้ำ
- ตรวจสอบใบหน้าของผู้สมัครใช้บริการจากคลิปวิดีโอแบบสด เปรียบเทียบกับใบหน้าจากภาพจากบัตรประจำ
ในการพิสูจน์ตัวบุคคล (Identity Proofing) ที่แอปพลิเคชันทางรัฐใช้ตามที่อธิบายข้างบนเป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับข้อเสนอแนะมาตรฐานเกี่ยวกับแนวทางการใช้ดิจิทัลไอดีสำหรับประเทศไทย (Digital Identity Guideline for Thailand) (ขมธอ. 18 19 และ 20-2561) ที่ประกาศโดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.)
เพื่อให้กระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวบุคคลมีความน่าเชื่อถือสูงเทียบเท่าแอปของธนาคาร ป้องกันการสวมสิทธิ์ของท่านโดยมิจฉาชีพ
แอปพลิเคชันทางรัฐได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่ง สพร.จัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเฉพาะความจำเป็นเท่านั้นและจัดเก็บอยู่บนระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (DG Cloud) ซึ่งมีระดับเสถียรภาพ (SLA) ไม่น้อยกว่า 99.5% และเป็นระบบที่มีมาตรการป้องกันการโจรกรรมข้อมูลอย่างรัดกุม มีความปลอดภัยสูงเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญของท่าน
ระะบบจำเป็นที่จะต้องจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครขอใช้บริการไว้บางส่วน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล และบริการต่างๆ เช่น ข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชน ชื่อ นามสกุล เป็นต้น ส่วนข้อมูลภาพถ่ายหน้า และหลังบัตรประจำตัวประชาชน ข้อมูลคลิปวิดีโอแบบสดของผู้สมัครใช้บริการ (Live Selfie) ที่มีการเคลื่อนไหวของท่าน หลังจากที่แอปพลิเคชันทางรัฐได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวในการพิสูจน์ตัวบุคคลของผู้ขอใช้บริการแล้ว สพร. จะลบข้อมูลดังกล่าวออกจากระบบโดยเร็วที่สุด เว้นแต่หากว่าจำเป็นต้องใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อประกอบการวิเคราะห์ และปรับปรุงบริการ สพร. จะขออนุญาต (Consent) จากผู้ขอสมัครใช้บริการก่อนทุกครั้งไป
ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่จัดเก็บตามความจำเป็นโดย สพร. นั้น สพร. จะทำการคุ้มครองข้อมูลของท่านอย่างดีที่สุด และให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) ของระบบฯ ที่นี่ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย ท่านจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงการใช้งานและนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้งานแอปพลิเคชันอย่างเคร่งครัด
ข้อมูลส่วนบุคคลที่แสดงในแอปพลิเคชันสามารถเข้าถึงได้โดยเจ้าของข้อมูลเท่านั้น โดย สพร. มีมาตรการที่มีความน่าเชื่อถือสูง และรัดกุมในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่เชื่อมโยงและนำส่งผ่านระบบ |
- สินค้าทุกประเภทสามารถเข้าร่วมโครงการได้
- ยกเว้น สินค้า Negative List ได้แก่
- สลากกินแบ่งรัฐบาล
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ผลิตภัณฑ์ยาสูบ
- กัญชา
- กระท่อม
- พืชกระท่อม
- ผลิตภัณฑ์จากกัญชาและกระท่อม
- บัตรกำนัล
- บัตรเงินสด
- ทองคำ
- เพชร
- พลอย
- อัญมณี
- น้ำมันเชื้อเพลิง
- ก๊าซธรรมชาติ
- เครื่องใช้ไฟฟ้า
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- เครื่องมือสื่อสาร
- การใช้จ่ายตามโครงการฯ ไม่รวมถึงธุรกิจบริการ
- ทั้งนี้ ให้ พณ.พิจารณาปรับปรุงสินค้า Negative List ได้
การลงทะเบียน
- ประชาชนทั่วไป
- กลุ่มที่มี Smart Phone 1 สิงหาคม – 15 กันยายน 2567
** เปิดลงทะเบียน ในวันที่ 1 สิงหาคม เวลา 8.00 น. เป็นต้นไป หลังจากนั้นลงได้ตลอด 24 ชม. - กลุ่มที่ไม่มี Smart Phone
16 กันยายน – 15 ตุลาคม 2567(ใช้จ่ายผ่านบัตรประชาชน )เลื่อนออกไปจากกำหนดการเดิม
รอการประกาศวันลงทะเบียนใหม่อย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
- กลุ่มที่มี Smart Phone 1 สิงหาคม – 15 กันยายน 2567
- ร้านค้า
1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไปเลื่อนออกไปจากกำหนดการเดิม
รอการประกาศวันลงทะเบียนใหม่อย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
- ประชาชนทั่วไป
การตรวจสอบสิทธิ์ 22 กันยายน 2567 เป็นต้น เลื่อนออกไปจากกำหนดการเดิม
รอการประกาศวันลงทะเบียนใหม่อย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
การทบทวนสิทธิ์ รอประกาศ
วันเริ่มต้น – สิ้นสุดการใช้จ่าย เริ่มใช้จ่ายโครงการ ฯภายในไตรมาส 4 ของปี 2567 เลื่อนออกไปจากกำหนดการเดิม
รอการประกาศวันลงทะเบียนใหม่อย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
การขึ้นเงิน รอประกาศ
ไม่จำกัด แต่ประชาชนที่จะได้รับสิทธิในการเข้าร่วมโครงการฯ ต้องเป็นไปตามคุณสมบัติและเงื่อนไขที่โครงการฯ กำหนด ซึ่งในเบื้องต้นประมาณการกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 45 ล้านคน (ภายใต้สมมติฐานจากประชากรกลุ่มเป้าหมายอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่คาดว่าจะได้รับสิทธิประมาณ 50.7 ล้านคน และอัตราส่วนกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าร่วมโครงการรัฐที่ผ่านมา เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการชิมช้อปใช้ โครงการเราชนะ เป็นต้น ประมาณร้อยละ 88.8)
ลงทะเบียนทางรัฐ ต้องทำ KYC เพราะเป็นการยืนยันตัวตนขั้นสูงสุด เทียบเท่าประชาชนเดินทางติดต่อราชการด้วยตนเอง = นี่คือความสะดวก และปลอดภัยด้านข้อมูลดิจิทัลในอนาคต
- ทางรัฐ ไม่ได้เก็บข้อมูล sensitive
- ตัวอย่าง ข้อมูลรายได้ปี 2566 มีอยู่แล้วที่สรรพากร แอปไม่ได้เก็บข้อมูล และการเปิดลงทะเบียนวันแรก แอปถูกแฮกเกอร์โจมตี แต่เราก็ป้องกันทุกอย่างได้ปลอดภัย
- แอปเป๋าตังเป็นของเอกชน แต่ทางรัฐ และดิจิทัลวอเล็ต ทั้งหมดเป็นของรัฐ
ไม่เกี่ยวกัน
- รัฐบาลที่แล้ว บริหารขาดดุลงบประมาณ+กู้เงิน ไม่ต่ำกว่า 4 ล้านล้าน
- รัฐบาลนี้ มีความจำเป็นต้องใช้เงิน 5 แสนล้านกู้วิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังดิ่งหัวลง เพราะถ้าปล่อยเฉยไม่ทำอะไร เมื่อเศรษฐกิจพัง 5 แสนล้านไม่พอซ่อม
ระบบมีกลไกตรวจสอบ ความผิดปกติที่เกิดขึ้น หากพบไม่มีการซื้อขายสินค้า = จะถูกดำเนินคดี ถูกเรียกเงินคืน ถูกฟ้องร้อง และถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้ร่วมโครงการรัฐ เป็นต้น
เราเข้าใจความเดือดร้อน และเราก็เห็นแล้วว่าทำแบบเก่า/เงินสด ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
ใช้จ่ายในเขตอำเภอ เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนในชุมชน = นี่คือการช่วยชุมชนของท่านให้มีเศรษฐกิจดีขึ้น เติบโตขึ้น คือความตั้งใจของรัฐบาล
เราจะเห็นเศรษฐกิจขยายตัวขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในปี 2568 อย่างแน่นอน!
ประชาชน
คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ ฯ
คุณสมบัติประชาชนที่จะสามารถเข้าร่วมโครงการฯ มีดังนี้
- กลุ่มประชากรที่มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน
- สัญชาติไทย
- มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ปิดรับลงทะเบียน
- ไม่เป็นผู้มีรายได้เกิน 840,000 บาทสำหรับปีภาษี 2566 โดยกรมสรรพากรประมวลผลข้อมูลผู้มีรายได้ 7 วัน ก่อนเปิดลงทะเบียนโครงการ
- ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันเกิน 500,000 บาท
- โดยตรวจสอบข้อมูลเงินฝาก 6 ประเภท ได้แก่
(1) เงินฝากกระแสรายวัน
(2) เงินฝากออมทรัพย์
(3) เงินฝากประจำ
(4) บัตรเงินฝาก
(5) ใบรับฝากเงิน และ
(6) ผลิตภัณฑ์เงินฝากในชื่อเรียกอื่นใด ที่มีลักษณะเดียวกับของ (1) – (5) - ทั้งนี้ เงินฝากดังกล่าวให้หมายความถึงเฉพาะเงินฝากที่อยู่ในรูปสกุลเงินบาทเท่านั้น ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 และไม่รวมถึงเงินฝากในบัญชีร่วม
- สถาบันการเงินเฉพาะกิจ 4 แห่งได้แก่
– ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
– ธนาคารออมสิน
– ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
– ธนาคารอาคารสงเคราะห์
- โดยตรวจสอบข้อมูลเงินฝาก 6 ประเภท ได้แก่
- ไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ
- ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการ/โครงการอื่น ๆ ของรัฐ
- ไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการ/โครงการอื่น ๆ ของรัฐ
คุณสมบัติประชาชนที่สำคัญ ได้แก่ 1 มีสัญชาติไทย และ 2. มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน ดังนั้น
- คนเร่ร่อน หากมีสัญชาติไทยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ก็สามารถเช้าร่วมโครงการฯ ได้
- กลุ่มชาติพันธุ์ จากการตรวจสอบเบื้องต้นกลุ่มนี้อาจมีชื่อในทะเบียนบ้าน แต่ไม่ได้มีสัญชาติไทย จึงไม่สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้
- กลุ่มทะเบียนบ้านกลาง คือ บุคคลที่ย้ายออกและยังไม่ได้เข้าบ้านใหม่ เช่น คนหนี้คดีหายสาญสูญ กลุ่มนี้ จึงไม่ได้ถือว่ามีชื่อตามเกณฑ์ของโครงการฯ
ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ผู้ลงทะเบียนฝากเงิน
นับเป็นเงินฝากของแม่
การนับวัน จะนับ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 เท่านั้น โดยไม่ได้สนใจวันก่อนหน้าว่าท่านมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ หาก ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 มีเงินในบัญชีเกิน 500,000 บาท คือจะไม่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการ
ทางรัฐบาลมีการกำหนดเป็นไตรมาสมาก่อนแล้วว่าต้องเป็นช่วงไหนบ้าง (เป็นนโยบายจากทางรัฐบาล)
- ผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านกลาง ไม่สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้
- หากต้องการลงทะเบียน ให้ย้ายเข้าทะเบียนบ้านอื่น ก่อนทำการลงทะเบียน
ไม่กำหนด แต่ ณ วันที่สมัครจนถึงวันที่ตรวจสอบ จะต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
ไม่สามารถเปลี่ยนพื้นที่ในการใช้สิทธิ์ หลังจากลงทะเบียนไปแล้ว
ต้องลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ฯ โดย
- ดาวน์โหลดและติดตั้งแอป ฯ ทางรัฐ
- ลงทะเบียนใช้งานแอป ฯ ทางรัฐ และทำการยืนยันตัวตน
- วันที่ 1 สิงหาคม – 15 กันยายน 2567 คลิกปุ่ม “ลงทะเบียนรับสิทธิโครงการฯ” ที่หน้าแรกของแอป ฯ ทางรัฐ เพื่อเข้าร่วมโครงการ
จากข้อกำหนดคุณสมบัติ ไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ
- ผู้ต้องโทษ/ พักโทษ ใส่กำไล EM = อยู่นอกเรือนจำ
- หากลงทะเบียนรับสิทธิ์ทัน ในช่วงที่เปิดรับ ก็สามารถใช้สิทธิ์ได้
- โดยผู้ได้รับสิทธิ์ ต้องไม่เข้าเงื่อนไขข้ออื่น เช่น ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืน ในมาตรการ/โครงการอื่นๆ ของรัฐ เป็นต้น
ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการแจ้งรายละเอียดเพื่อดูแลกลุ่มนี้ต่อไปชัดเจนอีกครั้ง
การลงทะเบียน/ตรวจผลสิทธิ์/ขอทบทวนสิทธิ์
ร้านค้า
ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี ดังนี้
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือ
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (PIT) เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร หรือ
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT)
ทั้งนี้ ร้านค้าไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันทีหลังประชาชนใช้จ่าย แต่ร้านค้าจะสามารถถอนเงินสดได้เมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่ในรอบที่ 2 เป็นต้นไป
แอพพลิเคชั่นทางรัฐ
- ดาวน์โหลดแอพทางรัฐ
- วิธีลงทะเบียนและใช้งานแอปทางรัฐ
แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” จัดทำขึ้นเพื่อยกระดับการให้บริการประชาชนให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ ของรัฐจากหน่วยงานที่หลากหลาย ผ่านช่องทางออนไลน์ แบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ครบวงจร อันเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้ได้รับบริการจากหน่วยงานภาครัฐอย่าง สะดวก รวดเร็ว และมั่นคงปลอดภัย
อ่านเพิ่มเติม https://www.dga.or.th/our-services/one-stop-service/citizenportal/
แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” เป็นแพลตฟอร์มที่ให้หน่วยงานภาครัฐสามารถนำข้อมูล และบริการต่าง ๆ ของตนมาให้บริการในลักษณะ “Mini App” ได้ โดยในปัจจุบัน แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” รองรับการเข้าถึงข้อมูล และบริการต่าง ๆ ดังนี้
- การตรวจสอบสิทธิรักษาพยาบาล จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
- การตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎร์
- การตรวจสอบประกันสังคม
- การตรวจสอบเครดิตบูโร
- การตรวจสอบสถานการณ์โควิด-19
- การจองคิวอบรมออนไลน์เพื่อต่อใบอนุญาตขับขี่
- การตรวจสอบข้อมูลภาษีไปไหน เป็นต้น
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการนำข้อมูลและบริการต่างๆ ของหน่วยงานมาให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” โดยข้อมูลและบริการต่างๆ เหล่านี้จะได้รับการเชื่อมโยงไปยังหน่วยงานผู้รับผิดชอบข้อมูลและบริการนั้นๆ โดยตรง ไม่ได้มีการคัดลอก หรือสำเนาข้อมูล มาไว้ที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลแต่อย่างใด
กรุณาติดต่อหน่วยงานผู้รับผิดชอบข้อมูลนั้นๆ โดยตรง เพื่อขอคำแนะนำว่า หากข้อมูลไม่ถูกต้อง จะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง
การร้องขอบริการของรัฐบางบริการอาจมีค่าใช้จ่าย หรือค่าธรรมเนียม เช่น ค่าปรับจราจร ค่าใช้ไฟฟ้า ค่าใช้น้ำประปา เป็นต้น แต่ผู้ใช้งานไม่มีค่าใช้จ่าย หรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในการใช้แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” แต่อย่างใด
หน่วยงานสามารถกรอกใบเข้าร่วมโครงการพอร์ทัลกลางเพื่อประชาชน และติดต่อ DGA Contact Center ที่ contact@dga.or.th หรือหมายเลขโทรศัพท์ 02-612-6060
แอปพลิเคชันนี้ จัดทำขึ้นโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานในการกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ให้บริการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานอื่นเกี่ยวกับการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลโดยมีวัตถุประสงค์ที่ครอบคลุมถึงการพัฒนาบริการดิจิทัลภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียวที่ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมั่นคงปลอดภัยตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘ (๕)
แอปพลิเคชันทางรัฐมีการเชื่อมต่อไปยังระบบดิจิทัลของส่วนราชการต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์มที่ติดตั้งอยู่บนระบบคลาวด์ภาครัฐ (Government Cloud) ที่ให้บริการ และบริหารจัดการ โดย สพร.
ระบบคลาวด์ภาครัฐดังกล่าวมีระดับเสถียรภาพ (SLA) ไม่น้อยกว่า 99.5% และเป็นระบบที่มีมาตรการป้องกันการโจรกรรมข้อมูลอย่างรัดกุม มีความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2013 ระบบการบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Information Security Management Systems – ISMS)
ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน และระบบงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการดำเนินงานต่างๆ ตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ และ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ๒๕๖๒
นอกจากนี้ แอปพลิเคชัน และแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ใช้สนับสนุนการทำงานของแอปพลิเคชันทางรัฐยังได้รับการพัฒนาขึ้น โดยคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยต่างๆ ดังนี้
- ก่อนที่จะเปิดแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์ม เพื่อให้บริการจริง แอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มดังกล่าวจะต้องผ่านการทดสอบ ทั้งในด้านคุณสมบัติ (Functional Test) และด้านอื่นๆ (Non-Functional Test) เช่น Performance Test และ Security Test โดยผลการทดสอบต้องแสดงให้เห็นว่าระบบทำงานได้โดยสมบูรณ์ มีระดับความมั่นคงสูง (Highly Available) มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยต่ำ
- สพร. ทดสอบความปลอดภัยของแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์ม (Security Test) โดยใช้อย่างน้อย 2 วิธี ดังนี้
- วิธี Static Application Security Testing (SAST) ซึ่งเป็นการตรวจสอบ Source Code ของแอปพลิเคชัน และแพลตฟอร์มที่เขียนขึ้น ว่าเป็นการเขียนโปรแกรมที่มีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตี หรือถูกเจาะโดยผู้ไม่หวังดีมากน้อยเพียงใด
- วิธี Vulnerability Assessment (VA) ซึ่งเป็นการตรวจสอบแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มที่ติดตั้งแล้วในภาพรวม ว่ามีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีเนื่องจากการตั้งค่า (Settings) ต่างๆ หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ปลอดภัยเพียงพอหรือไม่
- การทดสอบ Penetration Test (Pen Test) ซึ่งเป็นการให้บุคคลภายนอกทดลองเจาะระบบ