กสทช. แนะนำวิธีปฏิบัติเมื่อตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

กสทช. แนะนำวิธีปฏิบัติเมื่อตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

         สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ แนะนำวิธีปฏิบัติ เมื่อตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ อย่าตกใจ รีบทำตามขั้นตอนเหล่านี้ 1. ระงับบัญชีตัวเอง อายัดบัญชีคนร้าย และแจ้งความออนไลน์ 2. แจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่


 

 

เมื่อตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ อย่าตกใจ รีบทำตามขั้นตอนเหล่านี้

1. ระงับบัญชีตัวเอง อายัดบัญชีคนร้าย และแจ้งความออนไลน์

  • ติดต่อธนาคาร เพื่อระงับบัญชีตัวเอง
  • โทร 1441 แจ้งความออนไลน์ และแจ้งอายัดบัญชีคนร้าย (ทำได้ทุกธนาคาร)
  • นำเลขคำขอแจ้งความออนไลน์ และ Bank ID ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่โดยเร็วที่สุด

2. แจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่

  • แสดงเอกสารการแจ้งความออนไลน์ พร้อมหลักฐานทั้งหมดไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับมิจฉาชีพ เบอร์โทร ข้อความสนทนา หลักฐานการโอนเงิน (สลิป รูปภาพ) หรือหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  • เก็บหลักฐาน ห้ามลบข้อความสนทนา ห้ามทิ้งสลิป หรือหลักฐานการโอนเงิน
  • ร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


ช่องทางการติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือ:

  • สายด่วนตำรวจไซเบอร์ 1441: แจ้งความออนไลน์ เพื่อแจ้งระงับ อายัดบัญชีคนร้ายได้ ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ แจ้งความออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ thaipoliceonline.go.th
  • สายด่วน ปปง. 1710: ยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายหลายรายคดี สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือเว็บไซต์สำนักงาน ปปง. www.amlo.go.th
  • สายด่วน สำนักงาน กสทช. 1200: แจ้งเบาะแสเบอร์โทรศัพท์มิจฉาชีพ
  • เว็บไซต์กรมคุ้มครองผู้บริโภค: https://www.ocpb.go.th สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค รับเรื่องร้องทุกข์
  • เว็บไซต์มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค: www.consumerthai.org รับเรื่องร้องเรียน


        จำไว้ว่า มิจฉาชีพมีกลโกงหลากหลายรูปแบบ หมั่นศึกษาข้อมูลข่าวสาร และตั้งสติก่อนทำธุรกรรมใด ๆ ร่วมด้วยช่วยกันปราบปรามมิจฉาชีพ แชร์โพสต์นี้ให้คนที่คุณรักปลอดภัย

 


 

 

        เคยไหม โดนเบอร์แปลกโทรมา หลอกลวงให้โอนเงิน หรือ ได้รับข้อความชวนลงทุน สุดท้ายสูญเสียเงินไปต่อหน้าต่อตา วันนี้เรามีวิธีเอาตัวรอดเมื่อตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพทางโทรศัพท์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มาฝาก 8 ขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

  1. รวบรวมหลักฐาน : เก็บหลักฐานการสนทนา เช่น แชท อีเมล หรือบันทึกการโทร หรือหลักฐานทางการเงินที่โดนหลอกโอนเงิน เช่น ใบเสร็จ บิล หรือสลิปโอนเงิน และข้อมูลส่วนตัว เช่น สำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน พร้อมหลักฐานอื่น ๆ เช่น รูปภาพ วิดีโอ หรือข้อความในโซเชียล
  2. แจ้งความ : แจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่โดยเร็วที่สุด โดยเตรียมหลักฐานทั้งหมดไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับมิจฉาชีพ เช่น เบอร์โทร ข้อความ หรือรูปภาพ และขอใบแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน
  3. ติดต่อธนาคาร : แจ้งอายัดบัญชีของคุณเพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพโอนเงินออก และแจ้งความประสงค์ขออายัดบัญชีของมิจฉาชีพ เพื่อตรวจสอบรายการธุรกรรมในบัญชี และอย่าลืม! เปลี่ยนรหัสผ่านบัญชีธนาคารและบัญชีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
  4. แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง : แจ้งข้อมูลร้องเรียนต่อกรมคุ้มครองผู้บริโภค หรือแจ้งข้อมูลร้องเรียนต่อ กสทช. กรณีถูกหลอกลวงทางโทรศัพท์หรือ SMS เพื่อแจ้งเบาะแส ไม่ให้มิจฉาชีพไปหลอกคนอื่นต่อ
  5. ป้องกันมิจฉาชีพติดต่อกลับ : เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หากมิจฉาชีพทราบเบอร์ของคุณ โดยตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันต่าง ๆ และระวังการติดต่อจากบุคคลที่ไม่รู้จัก โดยตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบุคคลที่ติดต่อมาก่อน
  6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ : ปรึกษาทนายความหากต้องการคำแนะนำทางกฎหมาย หรือติดต่อหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายฟรี
  7. ดูแลสภาพจิตใจ : ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และออกกำลังกาย ตลอดจน พูดคุยกับครอบครัว เพื่อน หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หรือาจเข้าร่วมกลุ่มช่วยเหลือสำหรับผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
  8. แชร์ประสบการณ์ : แชร์ประสบการณ์ของคุณเพื่อเตือนให้คนอื่นระวัง เพื่อสอนวิธีป้องกันตนเองจากมิจฉาชีพให้กับครอบครัวและเพื่อน พร้อมร่วมรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงภัยมิจฉาชีพจำไว้ว่า สิ่งสำคัญคือต้องไม่เก็บความลับ การแจ้งความและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะช่วยป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพทางโทรศัพท์ไปหลอกลวงผู้อื่น และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย

หน่วยงานที่ช่วยเหลือ:

 


 

ที่มา :

  • https://shorturl.asia/fu97d
  • https://shorturl.asia/Fs413